เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 13/2564 เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนองบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ปีงบประมาณ 2566 จำนวน 207,093 ล้านบาท และให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาตามมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545  สำหรับข้อเสนองบประมาณกองทุนฯ ปี 2566 มีขึ้นเพื่อรองรับนโยบายของ รมว.สาธารณสุข อาทิ 4 โครงการยกระดับบัตรทอง โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ การส่งเสริมกัญชาทางการแพทย์ นโยบายผู้สูงอายุ การดูแลที่บ้านและชุมชน นโยบายลดความแออัดโรงพยาบาลปฐมภูมิในเขตเมือง นวัตกรรมด้านการแพทย์ และบริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) อีกทั้งรองรับสิทธิประโยชน์ใหม่ที่จะประกาศเพิ่มภายในปี 2565 จำนวน 26 รายการ รวมถึงการสนับสนุนอุปกรณ์และยาตามบัญชีนวัตกรรม

ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. เปิดเผยว่า การจัดทำข้อเสนองบประมาณดังกล่าวได้พิจารณาตามกรอบกฎหมาย ยุทธศาสตร์ แผนงาน และนโยบายต่างๆ รวมทั้งพิจารณาจากผลการรับฟังความเห็นกลุ่มต่างๆ ของปี 2564 ซึ่งคำนวณโดยคาดการณ์เป้าหมายตามผลการดำเนินงานที่ผ่านมา การเพิ่มขึ้นของค่าแรง ต้นทุน และอัตราเงินเฟ้อต่างๆ ทั้งนี้ ในงบประมาณ 207,093 ล้านบาท แยกเป็นเงินเดือนภาครัฐ 61,842 ล้านบาท และเป็นเงินกองทุนฯ ที่ส่งให้ สปสช. 145,251 ล้านบาท โดยจะนำไปใช้เป็นงบเหมาจ่ายรายหัว ค่าบริการอื่นๆ นอกงบเหมาจ่ายรายหัว ได้แก่ ค่าบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ ค่าบริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ค่าบริการควบคุมป้องกันและรักษาโรคเรื้อรัง ค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับหน่วยบริการในพื้นที่กันดาร พื้นที่เสี่ยงภัยและพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน ค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับการบริการระดับปฐมภูมิ รวมถึงรายการใหม่หรือที่แยกมาจากเหมาจ่าย เช่น ค่าบริการสาธารณสุขร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เงินช่วยเหลือเบื้องต้นผู้รับบริการและผู้ให้บริการ ค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เป็นต้น

นพ.จเด็จ กล่าวอีกว่า การจัดทำข้อเสนองบประมาณครั้งนี้ ยังพิจารณาภายใต้สถานการณ์ที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวหลังโควิด-19 ซึ่งคาดการณ์ว่าโรคโควิด-19 จะกลายมาเป็นโรคประจำถิ่น โดยงบบริการสำหรับโรคโควิด-19 จะผนวกอยู่ในข้อเสนองบกองทุนฯ ปี 2566 รวม 1,358 ล้านบาท แบ่งเป็น บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (PP) หรือการตรวจหาเชื้อ บริการรักษาผู้ป่วยใน (IP) และผู้ป่วยนอก (OP) รวมทั้งเงินช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีผู้ให้และผู้รับบริการ หรือเงินเยียวยาการแพ้วัคซีนโควิด-19 ที่จะยังคงมีการดูแลอยู่ต่อเนื่อง  อย่างไรก็ตาม หากมีข้อจำกัดงบประมาณของประเทศ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอหลักเกณฑ์การลำดับความสำคัญงบประมาณกองทุนฯ ปี 2566 ไว้