ในโลกสินทรัพย์ดิจิทัล นอกจากคริปโตเคอร์เรนซี อีกหนึ่งสินทรัพย์ที่กำลังเป็นกระแสไม่แพ้กันก็คือ Non-Fungible Token (NFT) หรือสินทรัพย์ดิจิทัลที่สามารถแลกเปลี่ยนและทดแทนกันได้ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในกลุ่มศิลปินและนักสะสม ไม่ว่าจะเป็นวงการศิลปะ ดนตรี เกม แฟชั่น ฯลฯ ต่างโดดเข้ามาร่วมวง NFT จนมีเม็ดเงินหมุนเวียนอย่างมหาศาล

ไม่เว้นแม้กระทั่งธุรกิจสื่อและความบันเทิงอย่าง “จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่” ที่ประกาศจับมือร่วมกับ 4 พันธมิตร ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ บิทคับ, โครอล, อีสท์ เอ็นเอฟที และซิปเม็กซ์ เพื่อทำตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลกลุ่มธุรกิจเพลง (มิวสิก เอ็นเอฟที) จำหน่ายสินค้าศิลปิน อาทิ เพลง ของสะสมรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ผ่านแพลตฟอร์มของพันธมิตรดังกล่าว โดยแลกซื้อด้วยสกุลเงินดิจิทัล คาดว่าจะเริ่มซื้อขายได้ช่วงต้นปี 65

หลังจากก่อนหน้านี้ “อาร์เอส” เปิดตัวแพลตฟอร์ม “ป๊อปคอยน์” หรือเหรียญดิจิทัล โดยเบื้องต้นพัฒนาอยู่บนแพลตฟอร์มบิทคับ สำหรับเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนและทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์ม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจในเครือทั้งคอมเมิร์ซ, คอนเทนต์ และบันเทิง และจะช่วยยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพการทำการตลาด การจัดทำและจัดจำหน่ายคอนเทนต์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับแคมเปญการตลาดให้กับแบรนด์และสินค้าต่างๆ

ในด้าน “ธุรกิจโรงหนัง” ก็ไม่น้อยหน้า ล่าสุด “โรงหนังเอส เอฟ” ร่วมกับ บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด เพื่อใช้เหรียญ “เจฟิน” มาแลกซื้อตั๋วหนัง และสินค้า บริการต่างๆ บนแอพพลิเคชั่นของเอสเอฟ เพื่อตอบรับการใช้ดิจิทัลเคอร์เรนซีที่กำลังเป็นเทรนด์ในขณะนี้และมีแนวโน้มได้รับความนิยมมากขึ้นในอนาคต และช่วยลดการสัมผัส เพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า

เช่นเดียวกับ “โรงหนังเมเจอร์” จับมือร่วมกับซิปเม็กซ์  ทดลองรับแลกตั๋วหนังด้วยสกุลเงินดิจิทัล หรือซึ่งถือเป็นโรงหนังรายแรกของไทย โดยจะเริ่มให้บริการที่เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์รัชโยธิน ผ่านแอพพลิเคชั่นของแรพิดซ์ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มสัดส่วนการขายตั๋วผ่านแอพพลิชั่นจาก 10% ปัจจุบัน เป็น 20% ในปี64 นี้ และเพิ่มเป็น 70-80% ในอนาคต พร้อมกับลดสัดส่วนการขายผ่านหน้าเคาน์เตอร์ให้เป็นศูนย์ในอนาคตจากปัจจุบันยังเป็นสัดส่วนการขายหลัก 90% โดยสัดส่วนดังกล่าวแบ่งเป็น ขายผ่านตู้กด 80% และผ่านพนักงาน 10%