สำนักข่าวเอพีประจำประเทศไทย รายงานเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ว่า การหลบหนีข้ามแดน ของชาวเมียนมาจากเมืองเมียวดี นับเป็นครั้งใหญ่สุด ตั้งแต่เดือน เม.ย. เมื่อชาวบ้านหลายพันคนจากรัฐกะเหรี่ยง หลบหนีข้ามแดนเข้าสู่ประเทศไทย หลังจากเครื่องบินรบกองทัพเมียนมา โจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายฐานที่มั่นกองกำลังกบฏเคเอ็นยู หรือ สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union ; KNU) ซึ่งผู้ลี้ภัยเหล่านั้นได้รับอนุญาตให้พักพิงอยู่ในฝั่งไทยได้เพียงไม่กี่วัน ก่อนจะเดินทางกลับสู่เมียนมา

เจ้าหน้าที่ทหารกองทัพไทย ในจังหวัดตาก เผยว่า ชาวบ้านเมียนมาประมาณ 2,500 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก จากหมู่บ้านเลเก่ก่อ เมืองเมียวดี หลบหนีการสู้รบ ข้ามแม่น้ำเมย ซึ่งกั้นเขตแดนระหว่าง 2 ประเทศ หาที่พักพิงในอำเภอแม่สอด ตั้งแต่วันพฤหัสบดี (16 ธ.ค.) โดยเจ้าหน้าที่ไทยได้ให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม จัดหาที่พักอาศัย และอาหาร รวมทั้งตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19

หน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจกองทัพไทย ที่รับผิดชอบด้านความมั่นคงตามแนวชายแดน ได้แจ้งเตือนเมื่อวันพฤหัสบดี โดยผ่านคณะกรรมการเขตแดนไทย-เมียนมา ว่า พร้อมที่จะตอบโต้ หากกระสุนลูกหลงปืนใหญ่ ตกลงในเขตดินแดนไทย โดยกระสุนปืนใหญ่อย่างน้อย 1 ลูก ตกลงในไร่อ้อยฝั่งไทย เมื่อวันพฤหัสบดี ทำให้เกิดไฟลุกไหม้เล็กน้อย

การสู้รบในรัฐกะเหรี่ยงของเมียนมาในสัปดาห์นี้ เริ่มขึ้นในวันอังคาร (14 ธ.ค.) เมื่อทหารเมียนมาบุกเข้าไปในหมู่บ้านเลเก่ก่อ เมืองเมียวดี และจับกุมประชาชนราว 30 – 60 คน ที่ระบุว่าเกี่ยวพันกับองค์กรต่อต้านรัฐบาลเมียนมา รวมถึง ส.ส. 1 คนของพรรคสันนิบาติแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ที่นำโดยนางออง ซาน ซูจี และวันต่อมาทหารเมียนมายิงกระสุนปืนใหญ่ ประมาณ 20 นัด โจมตีฐานของเคเอ็นยูในพื้นที่ ทำให้เกิดการสู้รบต่อเนื่องระลอกใหม่.

เครดิตภาพ – AP
เครดิตคลิป – The Karen News