เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. เวลา 11.00 น. ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้การต้อนรับ นายมุฮัมมัด จินาห์ (H.E. Mr. Mohamed Jinah) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐมัลดีฟส์ประจำประเทศไทย ที่เข้าเยี่ยมคารวะ ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไทยพร้อมที่จะสนับสนุนการทำงานของเอกอัครราชทูตมัลดีฟส์ อย่างเต็มที่ พร้อมแสดงความยินดีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมัลดีฟส์ ได้รับเลือกเป็นประธานการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ครั้งที่ 76 ตลอดจนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถกระชับความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน การท่องเที่ยว ตลอดจนความร่วมมือในกรอบพหุภาคีต่างๆ ให้มากขึ้น

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่ามัลดีฟส์เป็นแหล่งลงทุนที่สำคัญของไทยในสาขาโรงแรม รีสอร์ท และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันมีภาคเอกชนไทยเข้าไปลงทุนหลายรายและมีแนวโน้มจะขยายการลงทุนในประเภทอื่นๆ เพิ่มเติม โดยล่าสุดบริษัทไทยได้เข้าร่วมโครงการการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ซึ่งถือเป็นการลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนโครงการแรกของผู้ลงทุนไทยในมัลดีฟส์

ด้านการท่องเที่ยว ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะสนับสนุนซึ่งเป็นด้านที่ทั้งสองประเทศมีศักยภาพ โดยเอกอัครราชทูตมัลดีฟส์ ขอบคุณความร่วมมือจากรัฐบาลไทยที่สามารถให้ผู้ที่เดินทางจากมัลดีฟส์ สามารถเดินทางเข้าไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว ซึ่งนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าจะช่วยส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศได้มากขึ้น

ในตอนท้ายทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการประมงที่ทั้งสองประเทศมีศักยภาพ โดยนายกรัฐมนตรียินดีให้ความร่วมมือสนับสนุนผ่านกระทรวงการเกษตรและสหกรณ์ต่อไป

เอกอัครราชทูตมัลดีฟส์ รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้ารับตำแหน่งในไทย โดยนายอิบรอฮีม มุฮัมมัด ศอลิห์ ประธานาธิบดีแห่งมัลดีฟส์ ได้ฝากความปรารถนาดีมายังนายกรัฐมนตรี ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเป็นไปอย่างราบรื่นผ่านความร่วมมือในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านการค้าและการลงทุน ซึ่งไทยถือเป็นคู่ค้าที่สำคัญของมัลดีฟส์ พร้อมชื่นชมความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรีและการบริหารงานของรัฐบาลไทยที่สามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนทำให้สถานการณ์คลี่คลายและสามารถเปิดประเทศเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวได้ โดยเอกอัครราชทูตมัลดีฟส์ ยืนยันว่าจะส่งเสริมความร่วมมือในด้านที่มีศักยภาพระหว่างกันต่อไป.