สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงซันติอาโก ประเทศชิลี เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.ว่าประธานาธิบดีเซบาสเตียน ปีเญรา ต้อนรับและพบหารือกับนายกาเบรียล บอริก ว่าที่ผู้นำคนใหม่ ที่ทำเนียบประธานาธิบดี ในกรุงซันติอาโก เมื่อวันจันทร์


ทั้งนี้ บอริก ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายซ้าย คว้าชัยชนะจากการเลือกตั้งผู้นำชิลีรอบชิงดำ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ด้วยคะแนนเสียงสนับสนุนเกือบ 56% ส่วนคู่แข่ง คือนายโฮเซ อันโตนิโอ แคสต์ วัย 55 ปี จากพรรคอนุรักษนิยม ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนประมาณ 44% โดยเมื่อรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ในเดือน มี.ค.ที่จะถึงนี้ บอริกจะมีอายุ 36 ปี สร้างประวัติศาสตร์เป็นประธานาธิบดีอายุน้อยที่สุดของชิลี


ขณะที่สื่อหลายแห่งเรียกการพบกันระหว่างปีเญรากับบอริก “เป็นการคืนสู่เหย้า” เนื่องจากย้อนกลับไปเมื่อช่วงปี 2554 บอริกเป็นอดีตแกนนำแนวร่วมนักศึกษา เคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อเรียกร้องการปฏิรูปสวัสดิการด้านการศึกษา จากรัฐบาลของประธานาธิบดีปีเญรา ด้านผู้นำชิลียืนยัน การมอบความสนับสนุนและความร่วมมืออย่างเต็มที่ ให้แก่ว่าที่ประธานาธิบดีคนต่อไป ในช่วงของการถ่ายโอนอำนาจซึ่งจะมีเวลาประมาณ 3 เดือน

ชาวชิลีเดินผ่านย่านธุรกิจแห่งหนึ่ง ในกรุงซันติอาโก ซึ่งเต็มไปด้วยร้านแลกเงิน ที่อัตราแลกเปลี่ยนต่อเงินดอลลาร์สหรัฐแพงขึ้นทันที หลังนายกาเบรียล บอริก ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี


สำหรับการเลือกตั้งรอบตัดสินครั้งนี้ มีประชาชนออกมาลงคะแนนมากเกือบ 56% เป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ชิลียกเลิกกฎหมายบังคับการออกมาใช้สิทธิ เมื่อปี 2555 สะท้อนความตื่นตัว และ “ความต้องการเปลี่ยนแปลง” ของประชาชน


ส่วนนโยบายน่าสนใจที่บอริกประกาศไว้ในช่วงหาเสียง รวมถึงการยกเลิกระบบบำนาญเอกชน หนึ่งในสัญลักษณ์ของกลไกเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ ที่จัดตั้งในสมัยของนายพลออกุสโต ปิโนเชต์ และการคัดค้านโครงการเหมืองทองแดงแห่งใหม่ แม้ชิลีเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกทองแดงรายใหญ่ที่สุดของโลก


นอกจากนี้ ว่าที่ผู้นำของชิลียังกล่าวถึง “การจัดตั้งระบบสวัสดิการสังคมอย่างแท้จริง” ด้วยมาตรการที่รวมถึง การเพิ่มเพดานภาษีของกลุ่มผู้มีฐานะ และการเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อการพัฒนาสังคม ภายในประเทศแห่งนี้ ซึ่งมีสัดส่วนความเหลื่อมล้ำมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อย่างไรก็ตาม นโยบายเหล่านี้สร้างความวิตกกังวลอย่างหนัก ให้กับบรรดานักลงทุน ว่าจะส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชิลี ซึ่งมีฐานะมั่งคั่งมากที่สุดแห่งหนึ่งในลาตินอเมริกา.

เครดิตภาพ : AP