เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ที่ศาลาพระธรรมโกศาจารย์ วัดพุทธปัญญา จังหวัดนนทบุรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงสาธารณสุข นำโดย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย คณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลแด่ผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทยทุกราย โดยศูนย์ข้อมูลโควิด-19 รายงานถึงวันที่ 23 ธ.ค. มียอดผู้เสียสะสม 21,201 ราย

ทั้งนี้ ประเทศไทยมีการจับตาสัญญาณโรคโควิด-19 มาตั้งแต่ปลายปี 2562 มีมาตรการตั้งรับเต็มระบบเมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2563 จากผู้เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน จากนั้นวันที่ 13 ม.ค.63 พบผู้ติดเชื้อยืนยันรายแรกในประเทศไทย และรายแรกนอกประเทศจีน วันที่ 15 ม.ค. 63 พบผู้ป่วยคนไทยรายแรกเดินทางกลับจากจีน วันที่ 27 ม.ค.63 นายกรัฐมนตรี แถลงยกระดับศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้สถานการณ์ วันที่ 30 ม.ค.63 องค์การอนามัยโลก ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ และวันที่ 1 มี.ค.63 มีรายงานพบผู้เสียชีวิตในไทยรายแรก

นพ.เกียรติภูมิ กล่าวภายหลังการทำบุญว่า วันนี้ฉีดวัคซีนได้ครบ 101 ล้านโด๊ส เป็นการสร้างความปลอดภัยของประเทศชาติ แต่ในการระบาด 2 ปีที่ผ่านมา มีคนป่วย เสียชีวิตมากกว่า 2 หมื่นราย กระทรวงสาธารณสุขมีความเสียใจต่อการเสียชีวิตที่ผ่านมา ซึ่งในจำนวนนี้เป็นบุคลากรทางด้านสาธารณสุข ประมาณ 20 กว่าราย อสม. 38 ราย ทั้งนี้ หวังว่าทุกคนจะผ่านวิกฤติครั้งนี้ไป และรีสตาร์ตการทำงานกันใหม่

นพ.เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า สำหรับเชื้อโอมิครอนนั้น ยังดูแลได้ ข้อสรุปตอนนี้คือความรุนแรงไม่มากกว่าเดลตา อาจแพร่เร็วกว่า แต่อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ซึ่งเตียงมีอยู่ประมาณ 2 แสนเตียง ใช้ไป 3 หมื่นเตียง อย่างไรก็ตาม สธ.ประชุมเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. มีการยกระดับควบคุม ป้องกันโรค และได้มอบหมายให้กรมควบคุมโรค จำลองการคาดการณ์การระบาดของเชื้อโอมิครอน คาดว่าจะได้ข้อสรุปวันที่ 27 ธ.ค.และวางแผนรองรับทั้งรักษา ป้องกัน หากประเมินแล้ว ตอนเชื้อเดลตาเข้าไทย ตอนนั้นการฉีดวัคซีนเพียง 20-30% เท่านั้น ความรู้ยังมีไม่มาก เตียงไม่พอ แต่ตอนนี้มีเตียงเพียงพอ มีระบบ HI /CI รองรับ การครอบคลุมวัคซีนมีมากขึ้น

“เบื้องต้น จากข้อมูลกรมควบคุมโรครายงานเข้ามา คือ โอมิครอนความรุนแรงไม่น่าแรงกว่าเดลตา เพราะจากข้อมูล และรายงานต่างประเทศ อังกฤษ ติดเชื้อเป็นหมื่นราย เสียชีวิต 12 ราย” นพ.เกียรติภูมิ กล่าวและว่า การวางฉากทัศน์ที่ผ่านมาไม่ได้อยู่ในความครอบคลุมวัคซีนนัก แต่ครั้งนี้มีการครอบคลุม