จัดเป็นนักแสดงสาวอีกหนึ่งคนที่หลายจับตามองทุกเรื่องราวชีวิตและความรักสำหรับ แตงโม ภัทรธิดา หรือ แตงโม นิดา เส้นทางในวงการบันเทิงเธอเริ่มเข้าวงการมาตั้งแต่ตอนเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จากการที่มีแมวมองมาเจอและชวนไปเทสต์งาน ซึ่งแตงโมได้ไปเทสต์หน้ากล้องและถ่ายโฆษณา ก่อนจะเข้าประกวดมิสทีนไทยแลนด์ ปี 2002 และได้ตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับ 4 จากนั้น แตงโม ภัทรธิดา ก็ได้เข้ามาอยู่ในวงการและมีผลงานมากมาย ล่าสุดสาวแตงโมไปร่วมรายการ Club Friday Show และพูดคุยถึงเรื่องต่างๆ ในชีวิต

แตงโม เผยว่า “เรื่องความรักเราเคยคบกับคนคนหนึ่ง ซึ่งทำให้อาการซึมเศร้าของเราหนักลงมากๆ ลงไปเรื่อยๆ จังหวะนั้นเราป่วยอยู่แล้ว แบบแต่งตัวอะไรอ่ะเหมือนกะหรี่เลยอะไรอย่างนี้ค่ะ คือ ตำหนิทุกอย่างชีวิตไม่เคยมีอะไรดีเลยอยู่ไปอยู่มารู้สึกตัวเองด้อยค่าลงเรื่อยๆ หึงยันจิตแพทย์เลยค่ะ แบบเราอยู่แทบไม่ได้เลย ตอนนั้นถ้าเขาไม่มีเรา เขาจะน่าสงสารมาก เขาไม่ได้มาเชิงมาตามนะคะ เขามาในทำนองว่า โม อยู่ได้หรือเปล่า โม อยู่ได้ไหมในขณะนั้น แต่ตอนนั้นคือ โม สนุกมากหนูหลุดแล้ว ทุกคนในบ้านบอกหนูว่า โม กลับมาแล้วอันนี้คือตัวเรา เราไปเป็นใครอยู่ตั้งสองปี”

“ถามว่าเคยรู้สึกไหมว่าเราประสบความสำเร็จในเรื่องงานแต่เรื่องอื่นแย่คือเมื่อก่อนเคยคิดค่ะ แต่พอเราคิดใหม่แล้วมันเป็นเรื่องที่ดีจังเลยที่ชีวิตมีแต่เรื่องเขาก็ภูมิใจใน โมที่โมเป็นเวอร์ชั่นนี้ แล้วโมได้ความเป็นตัวเองกลับมา โม มั่นใจมากขึ้นพูดมากขึ้น ถ้าเป็นเมื่อก่อน โม พูดไม่ได้เลยนะคะ ช่วงนั้น โม พูดแล้วสั่นกลัวพูดผิดหรือพูดถูกหรือเปล่ากว่าเราจะกลับมาเป็นแบบนี้ใช้เวลาค่อนข้างนาน ฟ้าหลังฝนมันก็ดีขึ้นมากจริงๆ ถามว่าความรักของโมตอนนี้อยู่โหมดไหนอยู่ในโหมดความปลอดภัยค่ะ มันเป็นช่วงที่โมไม่สบายหนัก คือ โม แทบจะนอนติดเตียงเลย คือ ช่วงที่คุณพ่อป่วยแล้ว โม ป่วยหนักมาก โม รับไม่ได้กับการที่คุณพ่อเป็นแบบนี้ แบบน้ำไม่อาบ ผมไม่สระ ฟันไม่แปรงข้าวแทบไม่กินอยากตายอย่างเดียว โม อยู่จุดที่ตกต่ำสุดแล้วในชีวิต แต่เขายังมองเห็นค่าเรา คนที่เขาทุกข์ไปกับเรามันหาได้ยาก”

“แต่เรื่องความหึงมากไหมเคยค่ะ เคยแต่ว่าน้อยค่ะ เพราะโมเป็นคนเก็บ โมไม่ชอบพูดเก็บแล้วก็มานั่งทุกข์คนเดียวรอหายเอง โมผ่านมันมาแล้วคือ ความหึงหวงแล้วความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหรือไม่ก็เป็นพวกตีกรอบให้แฟนตัวเองอะไรอย่างนี้ค่ะ โมไม่เป็นแบบนั้นแล้ว สำหรับ ณ วันนี้ นิยามรักตอนนี้คือรักเป็นของโมก็คือรักแต่ไม่ครอบครอง”