จากกรณีคดีมรดกของคยาตรี เดวี มหารานีแห่งนครชัยปุระ ในรัฐราชสถาน ซึ่งศาลสูงของกรุงนิวเดลี เคยมีคำพิพากษา เมื่อปี 2558 ให้นายเทพราช ซิงห์ และนางสาวลลิตยา กุมารี สองพี่น้องซึ่งเป็นทายาทของ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต ราชนิกุลชาวไทย ที่สมรสกับมหาราชจกัต ซิงห์ ทายาทของมหารานี เป็นผู้รับมรดก ซึ่งมีมูลค่ามหาศาล ตามพินัยกรรมที่คยาตรี เดวี มหารานีแห่งนครชัยปุระ ซึ่งมีศักดิ์เป็นย่าของบุคคลทั้งสองระบุไว้ แต่คู่กรณี ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุง ยังคงเดินหน้าต่อสู้ถึงชั้นฎีกานั้น


สื่อท้องถิ่นหลายแห่งของอินเดียรายงาน ในสัปดาห์นี้ ว่าศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลสูงของกรุงนิวเดลี ให้นายเทพราช และ น.ส.ลลิตยา เป็นผู้มีสิทธิอันชอบธรรมตามกฎหมาย ในสมบัติของมหาราชจกัต ซิงห์ โดยมรดกซึ่งเป็นที่พิพาทตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รวมถึง พระราชวังชัยมาฮาล และพระราชวังรามบักห์ ซึ่งปัจจุบันคือโรงแรมหรู มีมูลค่ารวมกันประมาณ 200-400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6,708.40-13,416.80 ล้านบาท)


ทั้งนี้ นายเทพราช และ น.ส.ลลิตยา ร่วมกันต่อสู้เรื่องพินัยกรรมของคยาตรี เดวี มหารานีแห่งนครชัยปุระ ซึ่งสิ้นพระชนม์เมื่อปี 2552 ขณะทรงมีพระชันษา 90 ปี โดยสองพี่น้องยืนกรานว่า มหารานีทรงทำพินัยกรรมดังกล่าว ในช่วงเวลาที่ทรงชรามาก และทรงมีสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ “จึงอาจถูกแทรกแซงจากผู้ไม่ประสงค์ดี”


ด้านคำพิพากษาของศาลสูงสุดของอินเดียระบุให้ พระราชวังชัยมาฮาล เป็นของนายเทพราช และ น.ส.ลลิตยา โดยสมบูรณ์ ส่วนพระราชวังรามบักห์เป็นของคู่กรณี


อนึ่ง นายเทพราช และน.ส.ลลิตยาย้ายกลับมาอยู่เมืองไทย ตาม ม.ร.ว.ปรียนันทนา หลังมารดาหย่าร้างกับมหาราชจกัต ซิงห์ เมื่อปี 2530 ปัจจุบัน ม.ร.ว.ปรียนันทนา มีอายุ 69 ปี และเคยทำหน้าที่วุฒิสมาชิก.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES