ถึงวาระเฉลิมฉลองส่งท้ายปี 2564 ท่ามกลางสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยเรื่องร้อนระอุ ส่งผ่านความร้อนแรงกันข้ามปี และอาจจะกลายเป็นเรื่องร้อนที่ส่งผลกระทบกับคนไทยในปี 2565 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!

เปิดประเด็นร้อนด้วย สถานการณ์โควิด-19 ที่ถึงแม้ขณะนี้ยอดรวมผู้ติดเชื้อรายวันจะลดลงอยู่ระดับ 2-3 พันคนต่อวัน  แต่ที่น่ากังวลกลับเป็นสายพันธุ์ “โอมิครอน” ที่เริ่มมีการพบผู้ติดเชื้อในประเทศไทยทะลุหลักร้อยรายแล้ว จนทำเอา “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ต้องเรียกประชุม ศบค.ด่วน ก่อนมีมติยกระดับคุมเข้ม ทั้งการสั่งงดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในรูปแบบ Test and go เป็นการชั่วคราว ก่อนจะมีการประเมินสถานการณ์กันอีกรอบหลังปีใหม่ การตั้งศูนย์ปฏิบัติการตรวจสอบนักท่องเที่ยว การสั่งห้ามเจ้าหน้าที่รัฐลาไปต่างประเทศ แต่มาตรการเหล่านี้จะเพียงพอที่จะสกัดโอมิครอนได้หรือไม่ คนไทยคงจะต้องลุ้นกันตัวโก่งอีกครั้งหนึ่ง

ความน่ากังวลหลังจากนี้ คือ “คลัสเตอร์โอมิครอน” ที่อาจจะเกิดขึ้นหลังเทศกาลปีใหม่ จากการรวมกลุ่มเฉลิมฉลองของผู้คนในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งอาจจะทำให้สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศกลับมาร้อนแรงขึ้นอีกครั้งซ้ำรอยการระบาดของสายพันธุ์เดลตาหลังช่วงเทศกาลสงกรานต์

หากเกิดการแพร่ระบาดใหญ่ขึ้นอีกรอบซ้ำ สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าเชื้อไวรัส หรือยอดผู้ติดเชื้อรายวัน ก็คือพิษเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะซ้ำเติมสถานการณ์ให้หนักหนาสาหัสไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งจะทำเอาคนไทยต้องตกอยู่ในสภาวะ “ตกทุกข์ได้ยาก” กันแบบเลือดตามแทบกระเด็นมากยิ่งขึ้น

นอกจากนั้นยังมีเรื่องร้อนการเมืองที่จะต้องจับตากันอีก โดยเฉพาะ “ศึกเลือกตั้งซ่อม ส.ส.” ชุมพร เขต 1 และสงขลา เขต 6 แทนตำแหน่งที่ว่าง ที่เริ่มเปิดรับสมัครไปแล้ว และจะเปิดสังเวียนในวันที่ 16 ม.ค.2565 ซึ่งงานนี้นอกจากความร้อนแรงของการขับเคี่ยวระหว่างผู้สมัครแต่ละคนแล้ว ยังอาจจะกลายเป็นจุดเสี่ยงที่จะทำให้เกิดเป็น “รอยร้าวระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล”

โดยเฉพาะเจ้าของพื้นที่เดิมอย่าง พรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องเปิดหน้าชกกับ พรรคพลังประชารัฐ ภายหลังจากกรรมการบริหารพรรค มีมติกลับลำส่งผู้สมัครในนามพรรคลงชิงเก้าอี้ ส.ส. ในการเลือกตั้งซ่อมทั้ง 2 สนาม แบบไม่แคร์ “มารยาททางการเมือง”

ซึ่งก็จะต้องรอดูกันว่า ท้ายที่สุดแล้วผู้สมัครจากค่ายไหนจะคว้าชัยในการเลือกตั้งซ่อมทั้ง 2 สนาม พรรคใดจะเก็บแต้มยึดพื้นที่ภาคใต้ และที่สำคัญผลจากการเลือกตั้งในครั้งนี้จะทำให้เกิดปัญหาระแคะระคายระหว่าง พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชารัฐ จนถึงขั้นกระทบต่อการทำงานของรัฐบาลในปี 2565 หรือไม่…อีกไม่นานคงได้รู้กัน

และสังเวียนเลือกตั้งซ่อม อีกสนามที่น่าจับตามองไม่แพ้กันคือพื้นที่ เขตหลักสี่ กทม. ที่เก้าอี้ว่างสดๆร้อนๆ ภายหลัง ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า สิระ เจนจาคะ สิ้นสมาชิกภาพ ส.ส. จากกรณีเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดในคดีฉ้อโกง แม้ที่ผ่านมา “สิระ” จะเคยทำเหรียญทอง “หลวงพ่อป้อม” เลี่ยมทองคล้องคอไปโชว์กลางสภา แต่สงสัยพุทธคุณยังไม่ขลังพอ เพราะงานนี้ “หลวงพ่อป้อม” ก็ช่วยไม่ให้หลุดเก้าอี้ ส.ส. ไม่ได้

ซึ่งการเปิดสนามเลือกตั้งซ่อม ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย กกต. ได้ทำเรื่องถึงรัฐบาล เพื่อขอให้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดให้มีการเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งจะเข้าที่ประชุม ครม. ในวันที่ 28 ธ.ค.นี้ ขณะที่กรอบในการจัดการเลือกตั้งภายใน 45 วัน จะครบกำหนดเวลาในวันที่ 4 ก.พ. 2565 ซึ่งงานนี้ก็ต้องรอดูว่าศึกเลือกตั้งซ่อมในกทม.ดุเดือดร้อนแรงขนาดไหน

ปรับโฟกัสจากสังเวียนเลือกตั้งซ่อม ยังมีสนามที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ “สังเวียนร้อน” เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งผู้สมัครหลายคนเริ่มเปิดหน้าค่าตาออกมาให้เห็นกันแล้ว โดยในสังเวียนนี้ถือเป็นเวทีพิสูจน์ฐานเสียงของแต่ละฝ่าย ซึ่งจะสะท้อนถึงการเลือกตั้งใหญ่ระดับประเทศในอนาคตอันใกล้ได้

โดยผู้สมัครที่น่าจับตามองไล่ตั้งแต่ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครในนามอิสระ ซึ่งผลโพลหลายๆสำนักชี้ชัดว่ามีคะแนนนิยมนำผู้สมัครรายอื่น “ดร.เอ้” สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครในนามพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถึงแม้จะสะดุดขาตัวเองไปตอนเปิดตัว แต่ก็ยังมีเสียงตอบรับจากคนกทม.

ส่วนผู้สมัครที่ยังไม่เปิดตัว แต่เป็นที่จับตามองอย่างยิ่งคือผู้สมัครจากพรรคก้าวไกล ที่มีการประเมินว่าอาจจะมี “ไม้เด็ด” ซ่อนอยู่ อีกส่วนหนึ่งคือผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ ที่ยังคงเฟ้นหาตัวผู้สมัครกันยกใหญ่ โดยล่าสุดทีกระแสข่าวว่า ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีตรมว.ศึกษาธิการ และ สกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าฯ กทม. ดอดเข้าหารือกับ “บิ๊กตู่” ในตึกไทยคู่ฟ้า ดังนั้นหลังจากนี้คงจะต้องจับตามองผู้สมัครจากพรรคก้าวไกล และพรรคพลังประชารัฐ ว่าจะเปิดตัวแรงสร้างความฮือฮาจนเบียดแย้งคะแนนนิยมจากผู้สมัคร “บิ๊กเนม” รายอื่นได้หรือไม่

แต่งานนี้  “บิ๊กตู่” ก็ออกได้เหน็บแนมเรื่องการหาเสียงของผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.บางพรรค และบางคนเริ่มลงพื้นที่หาเสียงและชูนโยบายต่างๆว่าขอให้ดูให้ดี บางเรื่องทำได้ บางเรื่องทำไม่ได้ อย่างที่บอกว่าจะซ่อมถนนให้ตรงโน้นตรงนี้ ต้องดูงบประมาณด้วยจะเอาเงินจากไหนมาซ่อม

ซึ่งเรื่องนี้คงจะต้องฝากถึง กกต. ที่จะต้องช่วยตรวจสอบคัดกรองแทนประชาชน กับนโยบายที่เป็นไปได้ กับนโยบายเพ้อฝันแหกตาประชาชน รวมทั้งประเมินเรื่องเงินที่มีในกระเป๋าของ กทม. สามารถทำโครงการตามที่ผู้สมัครแต่ละคนหาเสียงไว้ได้หรือไม่ ขณะเดียวกันประชาชนก็ต้องรับข้อมูลกันอย่างชั่งใจ

นอกจากนั้นยังมี “คดีร้อน” ที่จะชี้ชะตานักการเมือง และอาจเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองในปี 2565 โดยเฉพาะเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี ของ “บิ๊กตู่”  ซึ่งมีปัญหาข้อกฎหมายว่าเริ่มนับตั้งแต่เมื่อใด เริ่มนับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งนายกฯ และหัวหน้าคสช. ตั้งแต่ปี 2557 หรือ เริ่มนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2560 บังคับใช้ หรือ เริ่มนับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งนายกฯภายหลังการเลือกตั้งในปี 2562 ซึ่งงานนี้มีคนเตรียมยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความในเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นก็ต้องจับตาดูว่าในปี 2565 จะเป็นการชี้ขาดว่า “บิ๊กตู่” จะได้อยู่ยาว หรือจะถูกตัดตอนก่อนครบเทอม

นอกจากนั้นยังมีคดีร้อน ที่น่าสนใจที่อาจจะมีบทสรุปออกมาในปี 2565 โดยเฉพาะคดีที่อาจจกลายเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมือง อย่างคดียุบพรรค ซึ่งขณะนี้มีพรรคที่รอขึ้นเขียงคือ พรรคก้าวไกล ที่ถูกยื่นให้ยุบพรรคกรณีเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และกรณีถูกมองว่าสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มราษฎร์ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำการล้มล้างการปกครอง อีกพรรคคือ พรรคเพื่อไทย ที่โดยยื่นยุบพรรคจากกรณีกล่าวหาว่าตั้งบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ขึ้นเป็นผู้อำนวยการพรรค และกรณีถูกกล่าวหาว่า “โทนี่” ทักษิณ ชินวัตร ครอบงำพรรค รวมไปถึงกรณีถูกกล่าวหาว่าให้เงินสนับสนุนม็อบ

นอกจากคดียุบพรรคแล้ว ปัญหาร่างแหจากคดีร้อนของ สิระ เจนจาคะ ยังอาจจะส่งผลกระทบกลายเป็นการอาจดับฝัน “4 กุมาร” ที่มีแผนฟอร์มทีมรีเทิร์นการเมืองหลังปีใหม่ เพราะ อุตตม สาวนายน อดีตหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นคนเซ็นชื่อรับรองการรับสมัคร ส.ส. ดังกล่าว ซึ่งตามกฎหมายพรรคการเมือง ระบุว่า หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใด ออกหนังสือรับรองผู้สมัครรับเลือกตั้งอันเป็นเท็จ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปี

ทั้งหมดทั้งมวลชี้ชัดว่าเรื่องร้อนทางการเมือง จะถูกชี้ชะตาใน “ปีเสือ” ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งอาจจะเป็นปีแห่งการชี้ชะตาการเมืองไทย และเป็นปีแห่งการชี้ชะตาประเทศไทยอย่างแท้จริง!