สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 4 ม.ค.ว่านายฟู่ ฉง ผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมอาวุธของกระทรวงการต่างประเทศจีน แถลงเมื่อวันอังคาร ว่าสหรัฐและรัสเซียยังคงเป็นสองประเทศซึ่งครอบครองหัวรบนิวเคลียร์มากที่สุดในโลก ด้วยสัดส่วน 90% ของปริมาณที่มีอยู่ทั้งหมดบนโลก ทั้งสองประเทศจึงควรเป็นผู้ดำเนินการก่อน ในการลดปริมาณอาวุธนิวเคลียร์ในคลังแสงของตัวเอง โดยปฏิบัติตามกรอบของข้อตกลงระหว่างประเทศที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ และมีผลผูกพันในทางกฎหมายระหว่างประเทศด้วย


ขณะเดียวกัน นายฟู่กล่าวถึง “ข้อกล่าวหา” ของสหรัฐ ว่ารัฐบาลปักกิ่งยังคงยึดมั่นมาตลอดกับหลักการที่เรียกว่า “No-First-Use” นั่นคือไม่โจมตีฝ่ายใดก่อนด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ขณะที่ศักยภาพด้านอาวุธนิวเคลียร์ของจีน ณ ปัจจุบัน ถือว่า “อยู่ในระดับต่ำมาก” และเป็นไปด้วยเหตุผลเพื่อเสถียรภาพและความมั่นคงแห่งชาติเท่านั้น


นอกจากนี้ นายฟู่ยังปฏิเสธข้อกล่าวหาของรัฐบาลวอชิงตัน ว่าจีนมีแผนติดตั้งระบบขีปนาวุธใกล้กับช่องแคบไต้หวัน โดยกล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการมีอาวุธนิวเคลียร์ควรเพื่อการป้องปรามเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการสู้รบหรือห้ำหั่นกัน อย่างไรก็ดี จีนจะเดินหน้า “ปรับปรุง” คลังแสงอาวุธนิวเคลียร์ของตัวเอง “ให้มีความทันสมัย” อย่างต่อเนื่อง


ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลัง สหรัฐ รัสเซีย จีน สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส ซึ่งเป็นกลุ่มสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) เผยแพร่แถลงการณ์ร่วมกัน เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ว่า “สงครามนิวเคลียร์ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ฝ่ายใด” การสู้รบแบบนี้ไม่มีผู้ชนะ ทั้ง 5 ประเทศควรร่วมกันลดการแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อบรรเทาความเสี่ยงทางยุทธศาสตร์ และแนวโน้มของการเกิดสงครามระหว่างรัฐ.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES