อัยการรัฐบาลฝรั่งเศสกล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า ทางการฝรั่งเศสกำลังเปิดคดีสืบสวนเกี่ยวกับการก่อการร้ายในเหตุการณ์ระเบิดที่ติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถประจำทีมของฝรั่งเศสในการแข่งขันแรลลี่ดาการ์ที่ซาอุดีอาระเบีย
เป้าหมายของระเบิดคือรถสนับสนุนของทีม Sodicars ของฝรั่งเศส ตามคำบอกเล่าของทีมงานและผู้จัดการแข่งขัน การระเบิดเกิดขึ้นหลังจากที่รถออกจากโรงแรมในเจดดาห์ได้ไม่นาน เพื่อมุ่งหน้าไปยังเส้นทางการแข่งขัน แรงระเบิดทำให้ผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ
สมาชิกของทีมแข่ง 5 คนอยู่ในรถคันดังกล่าวตอนที่เกิดเหตุระเบิด ซึ่งหนึ่งในห้าคนนั้นคือ ฟิลลิป บรูทร็อง นักขับรถแข่ง เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสที่บริเวณขา หนังสือพิมพ์ ‘เลกิปป์’ ของฝรั่งเศสรายงานโดยอ้างคำพูดของเพื่อนร่วมทีมว่า แรงดันระเบิดผ่านขึ้นมาจากพื้นใต้ท้องรถและทำให้เกิดไฟลุกไหม้
เดวิด คาสเทรา ผู้จัดการแข่งขันแรลลี่ดาการ์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า การแข่งขันซึ่งใช้เวลาสองสัปดาห์จะยังคงดำเนินต่อไป และเขาได้ขอร้องให้เจ้าหน้าที่ทางการของซาอุดีอาระเบียเพิ่มกำลังตำรวจเพื่ออารักขาการแข่งขันแล้ว
ทีมแข่งของฝรั่งเศสกล่าวในแถลงการณ์ว่า บูทร็อง ถูกส่งตัวไปรับการรักษาที่ฝรั่งเศสแล้ว และอยู่ในหอผู้ป่วยวิกฤติที่โรงพยาบาลทหารแปร์ซี ใกล้กรุงปารีสพร้อมด้วยครอบครัวของเขาคอยเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด
ทีมอัยการจากหน่วยงานต่อต้านการก่อการร้ายของฝรั่งเศสกล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า พวกเขาได้เปิดคดีสืบสวนโดยพุ่งเป้าไปที่แรงจูงใจในการลอบสังหารจากผู้ก่อการร้าย โดยมีหน่วยงานต่อต้านการก่อการร้ายภายในประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้รับผิดชอบ
การแข่งขันแรลลี่ดาการ์ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 44 โดยเริ่มต้นแข่งขันครั้งแรกในปี 2521 มีเส้นทางการแข่งขันจากปารีสถึงประเทศเซเนกัล ต่อมาก็ย้ายสถานที่จากแอฟริกาไปเป็นอเมริกาใต้ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยในปี 2552 และนับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา เส้นทางการแข่งขันทั้งหมดก็จัดขึ้นในประเทศซาอุดีอาระเบีย
ซาอุดีอาระเบียเคยเป็นประเทศที่เกิดการโจมตีทางทหารโดยพุ่งเป้าหมายไปที่ชาติตะวันตกอย่างต่อเนื่องในช่วง 20 ปีที่แล้ว แต่สถานการณ์ก็เริ่มบรรเทาลง จนกระทั่งช่วงปลายปี 2563 เกิดการระเบิดในงานพิธีรำลึกสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งจัดโดยสถานกงสุลฝรั่งเศสในเจดดาห์ ทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายคน นับเป็นการโจมตีด้วยระเบิดครั้งแรกในช่วงเวลาหลายปีที่สถานการณ์สงบ โดยมุ่งเป้าไปที่ชาวต่างชาติในพื้นที่ของซาอุดีอาระเบีย
เครดิตภาพ : Reuters