สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ว่า นางเจน ซากี โฆษกหญิงทำเนียบขาว กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี เกี่ยวกับสถานการณ์วุ่นวายและการประท้วงทางการเมืองในคาซัคสถาน ซึ่งบานปลายอย่างรวดเร็วตั้งแต่ต้นสัปดาห์นี้ว่ารัฐบาลวอชิงตัน “ไม่เกี่ยวข้อง” แต่ “จับตาอย่างใกล้ชิด” เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของหน่วยปฏิบัติการพิเศษจากองค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วม ( ซีเอสทีโอ ) ซึ่งมีรัสเซียเป็นหัวเรือใหญ่ เนื่องจาก “ยังคงมีความคลุมเครือ” โดยเฉพาะ “เจตนา” ของรัฐบาลคาซัคสถาน ในการเชิญทหารเหล่านี้เข้าประเทศ


ขณะที่นายแอนโทนี บลิงเคน รมว.การต่างประเทศสหรัฐ “มีความวิตกกังวล” เกี่ยวกับการใช้คำสั่งสถานการณ์ฉุกเฉินของทางการคาซัคสถาน และเรียกร้องการคลี่คลายสถานการณ์โดยสันติ ซึ่งมีชนวนเหตุจากความเดือดร้อนเรื่องราคาเชื้อเพลิง แต่แม้รัฐบาลประกาศตรึงราคา การประท้วงยกระดับเป็นการขับไล่รัฐบาล

ผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ปะทะกันที่เมืองอัคโทเบ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของคาซัคสถาน


ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจเมืองอัลมาตี ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของคาซัคสถาน ยืนยัน “การวิสามัญผู้ก่อความไม่สงบหลายสิบราย” และจับกุมผู้กระทำความผิดมากกว่า 2,000 คน อย่างไรก็ตาม มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 18 นาย ทั้งนี้ มีรายงานการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตทั่วประเทศ นัยว่าเพื่อป้องปรามการปลุกระดมรอบใหม่

สภาพของสำนักงานนายกเทศมนตรีเมืองอัลมาตี ในคาซัคสถาน ซึ่งถูกกลุ่มผู้ประท้วงเผาจนเสียหายอย่างหนัก


ด้านกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซียออกแถลงการณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ในคาซัคสถานเพียงว่า มีการปรึกษาหารือร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน ในการจัดการกับ “การลุกฮือซึ่งมีแรงกระตุ้นจากกองกำลังต่างชาติ” ส่วนซีเอสทีโอยังคงปฏิเสธให้ข้อมูลอย่างเป็นทางการ ว่าส่งทหารเข้าไปแล้วเท่าใด และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปราบปรามเมื่อวันพฤหัสบดีหรือไม่ แต่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ทหารของซีเอสทีโอเข้าคาซัคสถานไปแล้ว 2,500 นาย “และอาจเพิ่มขึ้นอีก”


อนึ่ง มีการวิเคราะห์ด้วยว่า “การเคลื่อนที่เร็ว” ของทหารจากซีเอสทีโอ ซึ่งสมาชิกนอกจากคาซัคสถาน ได้แก่ รัสเซีย เบลารุส อาร์เมเนีย ทาจิกิสถาน และคีร์กีซสถาน น่าจะมีวัตถุประสงค์สำคัญ คือเพื่อปกป้องแหล่งน้ำมันและยูเรเนียมในคาซัคสถานด้วย ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 1% จากสถานการณ์ไม่สงบในคาซัคสถาน.

เครดิตภาพ : REUTERS