เมื่อวันที่ 8 ม.ค. น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนที่เพิ่มขึ้น โดยในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องวันละ 2,000 คน จาก 3,899 คนในวันที่ 5 ม.ค. 65 มาเป็น 7,526 คนในวันที่ 7 ม.ค. 65 จึงมีความกังวลเกี่ยวกับการป้องกันและรับมือกับสถานการณ์การระบาดของภาครัฐ ที่ไม่เท่าทันกับสถานการณ์ของโรค เพราะจากงานวิจัยมีข้อมูลพบว่าการติดเชื้อในระดับบุคคล ผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง ซึ่งอาจเป็นผลมาจากไวรัสที่กลายพันธุ์หรือภูมิคุ้มกันจากวัคซีน แต่หากมีการติดเชื้อเป็นวงกว้าง รวมกับผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่ยังไม่ได้รับวัคซีน 2 เข็ม หากเกิดการระบาดใน 2 กลุ่มนี้เป็นจำนวนมาก อาจจะสร้างแรงกดดันด้านระบบสาธารณสุขได้ 

น.ส.ธีรรัตน์ กล่าวว่า ภาครัฐควรต้องเร่งทำงานเชิงรุกในการเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุข ทั้งเครื่องมือ อุปกรณ์ ยา และบุคลากรทางการแพทย์ให้เพียงพอ เพราะจากการลงพื้นที่ในหลายครั้งที่ผ่านมาพบว่ายังมีประชาชนจำนวนมาก ไม่สามารถเข้าถึงชุด ATK ฟรีได้ หรือแม้กระทั่งหน้ากากอนามัยยังไม่มีเงินเพียงพอที่จะซื้อจนต้องซักหน้ากากอนามัยใช้ซ้ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น จึงอยากให้รัฐเรียนรู้จากบทเรียนการระบาดในหลายครั้งที่ผ่านมา อย่าผลัดวันประกันพรุ่งในการป้องกันการระบาด อย่าปล่อยให้สถานการณ์บานปลายแล้วประกาศล็อกดาวน์แบบกะทันหันอีก เพราะไม่อย่างนั้นในปี 65 อาจจะเป็นปีเผาจริงของเศรษฐกิจปากท้องของคนไทยจนยากที่จะฟื้นตัวกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ 

น.ส.ธีรรัตน์ กล่าวต่อว่า หากจะรอเพียงความสามารถที่มีอยู่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ที่ควบรวมอำนาจการบริหารไว้เพียงคนเดียว คงไม่สามารถบริหารจัดการได้ เพราะผลงานที่ผ่านมาพิสูจน์จนเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าล้มเหลวและสร้างความเสียหายให้กับประชาชนมากน้อยเพียงใด ใช้งบประมาณแผ่นดินไป 25 ล้านล้านบาท กู้เงินรวมกว่า 5 ล้านล้านบาท หนี้สาธารณะกว่า 9 ล้านล้านบาท แต่คุณภาพชีวิตคนไทยกลับแย่ลงทุกวัน รัฐบาลไม่ควรนิ่งนอนใจกับเชื้อโอมิครอน จนดูถูกว่าเป็นสายพันธุ์กระจอก หากกระจอกจริง การเตือนภัยความรุนแรงคงไม่ปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4 ทางที่ดีรัฐบาลต้องตื่นรู้ เตรียมการ แต่ไม่ตื่นกลัว.