เรียกได้ว่าฟาดกันดุเดือดเลือดพร่านเลยทีเดียว สำหรับกับการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. ทั้ง 3 สังเวียน ไล่ตั้งแต่ ชุมพร เขต 1 และ สงขลา เขต 6 ที่จะเลือกตั้งพร้อมกันในวันนี้ ต่อกันด้วย สังเวียน กทม. เขต 9 ซึ่งจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 30 ม.ค.นี้

แม้หากจะนับเวลาหลังจากการเลือกตั้งซ่อมผ่านไปแล้วรัฐบาล ภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จะเหลือเวลาตามวาระอีกเพียงปีเศษ แต่บรรดาพรรคร่วมรัฐบาลกลับมีการขับเคี่ยวหาเสียง ช่วงชิงพื้นที่ทางการเมืองกันหนักหน่วง ชนิดที่ว่าไม่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลเลยก็ว่าได้

โดยที่เห็นได้ชัดที่สุดหนีไม่พ้น สังเวียนเลือกตั้งซ่อม ชุมพร เขต 1 และ สงขลา เขต 6 ที่งานนี้ พรรคพลังประชารัฐ มีการขนคาราวาน “ทัพหลวง” นำโดย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคหลังประชารัฐ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค และ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค ลงพื้นที่เดินเกมหาเสียงถล่มคู่แข่ง ตั้งเป้าปักธงกินรวบสนามเลือกตั้งซ่อมภาคใต้ทั้ง 2 จังหวัด

ขณะที่เจ้าของพื้นที่เดิมอย่าง พรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่มีท่าทีที่จะถอยแต่อย่างใด กลับมีการออกมาแฉพิรุธเลือกตั้งกันแบบรายวัน พร้อมปล่อย “หมัดฮุก” ใส่พรรคพลังประชารัฐแบบ “ตาต่อตาฟันต่อฟัน” อย่างล่าสุดในกรณีการปราศรัยของ ร.อ.ธรรมนัส ในทำนองว่า ควรเลือกผู้สมัครที่มีเงิน จนคนประชาธิปัตย์ต้องออกมาโวยกันยกใหญ่

แม้งานนี้ “บิ๊กป้อม” จะบอกว่าการหาเสียงในศึกเลือกตั้งซ่อมอย่าดุเดือนนี้ ไม่ได้กระทบกับความสัมพันธ์พรรคร่วมรัฐบาล โดยให้เหตุผลว่า เรื่องของการเลือกตั้งก็เป็นเรื่องของการเลือกตั้ง ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล” แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อย่าลืมว่า จุดนี้จะกลายเป็น “จุดเดือด” ที่จะปูทางไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น

หากจับอาการพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนี้ จะเห็นได้ชัดว่าแต่ละพรรคกำลังออกแอ๊คชั่นในส่วนงานที่รับผิดชอบ เพื่อใช้เป็นช่องทางหาเสียงล่วงหน้า เก็บแต้มคะแนนนิยมกันยกใหญ่ จนแทบจะเรียกได้ว่าพรรคร่วมรัฐบาลหลักๆ ต่างมองแต้มต่อ จนถึงผลได้ผลเสียต่อการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึงกันแล้ว มากกว่าจะมองสถานการณ์ปัจจุบัน จุดนี้เองที่จะทำให้เกิดปัญหากันเองที่จะกลายเป็นการนับถอยของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” ก่อนวาระอันควร!

ส่วนการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. กทม. เขต 9 ในพื้นที่ หลักสี่-จตุจักร ก็เริ่มร้อนแรงไม่แพ้ 2 สังเวียน ทั้งการออกมาปูดเรื่องการจ่ายเงินซื้อเสียงหัวละ 1,500 บาท มีการฟ้องร้องกันระหว่างผู้สมัคร บริบทที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นชัดถึงความสำคัญในเชิงนัยทางการเมืองของการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้

ทั้งหมดทั้งมวล ขึ้นอยู่ที่การตัดสินใจของประชาชนที่ต้องใช้วิจารณญาณศึกษานโยบายของแต่ละพรรค ศึกษาตัวผู้สมัครให้ชัดเจน เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียใจกลับมาเลือกตั้งซ่อมกันอีกระลอก ซึ่งจะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินโดยไม่จำเป็น

นอกจากนี้แล้ว “รัฐบาลบิ๊กตู่” ก็ยังมีปัญหา “วิกฤติศรัทธา” ที่กำลังกลายเป็น “วิกฤติซ้อนวิกฤติ” ที่อาจส่งผลให้รัฐบาลอยู่ไม่ครบเทอม ไล่ตั้งแต่ “วิกฤติโอมิครอน” ที่รัฐบาลไม่สามารถรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งเรื่องการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค การไร้แผนรองรับจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเป็นสัญญาณกลายเป็นสัญญาณความล้มเหลวซ้ำรอยการระบาดระลอกที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันรัฐบาลยังต้องเผชิญกับ “วิกฤติเศรษฐกิจปากท้อง” เริ่มออกอาการ “ฝีแตก” โดยไล่มาตั้งแต่ปัญหาหมูแพง ที่เป็นผลพวงของการปิดข่าว “โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร” ซึ่งเกิดการระบาดในประเทศไทยช่วงปี 2564 จนทำให้หมูในฟาร์มหลายพื้นที่ทั่วประเทศล้มตายจำนวนมาก จนกระทบกับอุปสงค์ในการบริโภค ส่งผลให้ราคาเนื้อหมูถีบตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องกลายเป็นผลกระทบที่สร้างความเสียหายอย่างใหญ่ต่อความศรัทธา (อันน้อยนิด) ของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล

ปัญหาดังกล่าวหน่วยงานที่ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้คือ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ถือเป็นหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบหลัก แต่ที่ผ่านมากลับแก้ปัญหากันแบบ “ปะผุ” ไล่ตั้งแต่การปกปิดข้อมูลโรคระบาด การออกมาปฏิเสธว่าไม่มีโรคอหิวาต์หมูในประเทศไทย ก่อนที่จะกลับลำยอมรับในภายหลัง ตลอดจนการเยียวยาเกษตรกรที่ ครม.เพิ่งจะมาออกแอ๊คชั่นกันเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา อนุมัติวงเงินงบกลาง 570 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาและเยียวยาเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูที่ได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบจากการเกิดโรคอหิวาต์หมู แต่ก็กลายเป็นการแก้ปัญหาไม่ทันสถานการณ์ เพราะความเสียหายเกิดขึ้นกับคนไทยตาดำๆ ไปเรียบร้อยแล้ว

นอกจากนั้นแล้วเมื่อหมูราคาสูงขึ้น ก็ส่งผลกระทบให้ของกินของใช้อื่นๆ พากัน “พาเหรดขึ้นราคา” ตามกันมาแบบติดๆ จนกลายเป็นปรากฎการณ์ “ของแพงทั้งแผ่นดิน” สะท้อนถึงการเป็น “ยุคข้าวยากหมากแพง” ได้อย่างไม่ต้องอธิบายให้มากความ ดังนั้นคงจะพูดได้ว่าถึงแม้ปีนี้จะเป็นปีเสือ แต่นาทีนี้เรียกได้ว่า “หมูดุกว่าเสือ” จริงๆ

จากวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ถือว่าหนักหนาสาหัสกว่าครั้งไหน ๆ เพราะเป็นสารพัดวิกฤติที่ถาโถมเข้าใส่ประเทศพร้อมๆ กัน ทั้งวิกฤติโอมิครอน วิกฤติเศรษฐกิจปากท้อง สะท้อนให้เห็นชัดว่า “รัฐบาลบิ๊กตู่” ตั้งรับไม่ทัน หรือคิดแต่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบรูทีน ไม่มีวิสัยทัศน์ที่จะแก้ปัญหาประเทศในระยะยาว สุดท้ายคนที่ต้องรับกรรมจากผลการกระทำของรัฐบาลก็คือคนไทยตาดำๆ ทั้งประเทศ

และงานนี้ฝ่ายค้านเตรียมการที่จะลากวิกฤติที่เกิดขึ้นเข้าไปประจานรัฐบาลกลางสภา โดยเตรียมการยื่นญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เบื้องต้นเริ่มมีการพูดคุยกันเพื่อหาข้อสรุปแล้ว คาดว่าจะมีการยื่นญัตติดังกล่าวภายในปลายเดือนนี้ และอาจจะมีการอภิปรายในช่วงเดือน ก.พ.ที่จะถึงนี้

นอกจากนั้นยังมีประเด็นร้อนฉ่าเรื่องการใช้งบประมาณแผ่นดินท่ามกลางสภาวะวิกฤติ แบบสวนทางความรู้สึกประชาชน ล่าสุด ครม.มีมติอนุมัติกรอบงบประมาณของปีงบประมาณ 2566 เพื่อจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีของกองทัพอากาศเพื่อทดแทนเครื่องบิน F16 งบประมาณ 13,800 ล้านบาท ยิ่งเป็นการกร่อนความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลให้ติดลบไปมากยิ่งขึ้น

จากวิกฤติการณ์ที่รุมเร้า รัฐบาลควรตระหนักได้แล้วว่าควรมีความความจริงใจกับการแก้ปัญหาให้ประชาชน ซึ่งจะช่วยฟื้นศรัทธาจากประชาชน ดีกว่าจะใช้วิธี “สายมู” บูชารูปปั้น “นรสิงห์” บนตึกไทยคู่ฟ้า ที่คงช่วยรัฐบาลไม่ได้หากไร้ซึ่งความจริงใจกับการแก้ปัญหาให้ประชาชนตั้งแต่ต้น

แม้รัฐบาลตั้งใจจะอยู่ครบเทอม 4 ปี แต่หากยังแก้ปัญหาแบบรูทีนไปวันๆ แบบนี้ โอกาสที่จะอยู่ไม่ครบเทอมก็เป็นไปได้สูง อีกทั้งขณะนี้เริ่มจะมีข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับการเตรียมพรรคสำรองกับแบบเงียบๆ ขึ้นมารองรับ “พี่น้อง 2 ป.”  “บิ๊กตู่-บิ๊กป๊อก” ในกรณีที่หาก “บิ๊กตู่” ตกเก้าอี้นายกฯ จากประเด็นร้อนเรื่องวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 258 วรรคสี่กำหนด

ทั้งนี้หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นพรรคสำรองที่เพียบพร้อมด้วยบรรดา ส.ส.เกรด A ที่มีการจีบและดูดเอาไว้แล้ว ก็พร้อมที่จะเป็นนั่งร้านอำนาจให้ “กลุ่มก๊วนของบิ๊กตู่” ที่จะต้องเดิมเกมการเมืองแบบ “ไร้หัว” กันต่อไปได้

ท้ายที่สุดคงจะต้องบอกว่าจากวิกฤติการณ์ต่างๆ ในขณะนี้ ทำให้ “รัฐบาลบิ๊กตู่” กำลังตกอยู่ในสภาวะ “เสือลำบาก” ที่จนตรอกทางการเมืองอย่างถึงที่สุด!