เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับศึกชิง 2 เก้าอี้ สนามปักษ์ใต้ ไฟต์เลือกตั้งซ่อม ส.ส.สงขลา เขต 6 และ ส.ส.ชุมพร เขต 1 ด้วยผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ หลังปิดหีบเลือกตั้ง “ค่ายสะตอ” กวาดเรียบทั้ง 2 เขต “อิสรพงษ์ มากอำไพ” จากค่าย “ประชาธิปัตย์” คะแนนนำมาเป็นอันดับ 1 ทิ้งห่างคู่แข่งอย่าง “ชวลิต อาจหาญ” หรือ “ทนายแดง” จากค่าย “พลังประชารัฐ” เช่นเดียวกับสงขลา เขต 6 “สุภาพร กำเนิดผล” คว้าชัยได้สำเร็จ เรียกได้ว่ามนต์ขลังยี่ห้อประชาธิปัตย์ยังเหนียว

งานนี้ปฏิบัติการเจาะฐานภาคใต้ของค่าย “พลังประชารัฐ” ล้มไม่เป็นท่า ผู้ท้าชิงห้าวเหิมลุย “หักเหลี่ยม” ประชาธิปัตย์แรงมาแรงกลับ ฟาดปากสุดมัน ต่อสู้ในพื้นที่เดือดทะลัก โดยไม่สนใจสายสัมพันธ์ ไม่คำนึงถึงมารยาทพรรคร่วมรัฐบาล ฟาดกันไม่เลี้ยง ยิ่งตอกลิ่มขัดแย้ง เพิ่มความหมั่นไส้ ในอารมณ์ที่เรือเหล็กสนิมเกรอะ ใกล้อับปางแต่ทั้งหมดทั้งมวล ดูเหมือนเลือกตั้งซ่อมจบ แต่อาการ “กินแหนงแคลงใจ” ยังไม่จบ 

เห็นได้จาก “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เลขาธิการพรรค พปชร. ออกมาระบุว่า “เราต้องยอมรับว่าการเตรียมการของเขา เตรียมการมาดี ของเราเตรียมการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อันนี้ไม่ใช่การแก้ตัว แต่ว่าการเลือกตั้งมันยังไม่จบ แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า การเลือกตั้งในวันนี้ มีการจับการทุจริต แบบเห็นจะจะ หลักฐานมีการโอนเงินผ่านบัญชี มีการกาหมายเลขที่ตัวเองรับเงินมาอย่างชัดเจน ผมไม่เคยเห็นการเลือกตั้ง การโกงกันแบบนี้มาก่อน เป็นเรื่องที่ต้องสู้กันต่อไป”

เดือดถึง “ทัพสะตอ” ยอมไม่ได้ถูกปราชัยเช่นนี้ “นิพนธ์ บุญญามณี” รมช.มหาดไทย ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกโรงเตือนแสบๆคันๆว่า “คิดว่าวันนี้การแข่งขันถือว่ายุติลงแล้ว การที่ร.อ.ธรรมนัส กล่าวอย่างนี้เสมือนว่าแพ้แล้วชวนตี ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นท่ามกลางการแข่งขันกันตามกติกาในระบอบประชาธิปไตย การกล่าวหาคนอื่นให้เสียหาย ว่ามีการโกงการเลือกตั้งต้องระมัดระวัง ไม่ใช่พูดเอามันเข้าว่า”

งานนี้เข้าทำนองเสร็จศึกเลือกตั้งมองหน้ากันลำบาก ร่องรอยบาดแผล นับวันร้าวลึก จนยากสมานให้หายสนิท เลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ต้องบอกว่าค่าย “ประชาธิปัตย์” ชนะในพื้นที่ที่ควรชนะ ใช้ทรัพยากรมหาศาล แต่ดูเหมือน “พลังประชารัฐ”

ชัดเจนว่า แบรนด์เสื่อม ทุ่มสุดตัว แต่แพ้ขาด ขณะที่ ก้าวไกลทรุดหนักจากคะแนนหลักหมื่นเหลือไม่กี่พัน แพ้น้องใหม่มาแรงอย่าง พรรคกล้า แม้ยังไม่ชนะ แต่เป็นตัวเลือกใหม่ที่น่าจับตาใน สนามเมืองกรุง

แน่นอนว่าการเมืองคือการแข่งขันขึ้นอยู่กับประชาชนจะตัดสินใจเลือก แต่สนิมเนื้อในปะทุขึ้นมาเร่งปฏิกิริยาความตึงเครียดพรรคร่วมรัฐบาลให้บานปลาย ส่อแววสัมพันธภาพรัฐบาลเปราะบางลงทุกวัน ชังหน้ากันเต็มที อยู่กันแค่ตัวแต่ใจไม่อยู่สถานะเหมือนเดินบนเส้นด้าย ปะผุอุดรูรั่วกันไม่ไหว ต้องลุ้นกันตัวโก่ง “ลูกเรือ” สิ้นสุดความอดทนต่อตัว “กัปตัน” จนต้องสละเรือกลางคันก่อนหรือไม่ คงต้องจับตาดูกันต่อไป.