เมื่อวันที่ 25 ม.ค. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) คณะทำงานด้านนโยบายการต่างประเทศ พรรค พท. นำโดย นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ที่ปรึกษาคณะ นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ และนายนพ ชีวานันท์ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา ร่วมแถลงถึงกรณีการเตรียมการของประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพเอเปค 65 

นายวรวัจน์ กล่าวว่า หลังจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ประกาศเป็นเจ้าภาพการประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ประจำปี 65 พร้อมระบุว่า หัวข้อหลักของการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปีนี้คือ “Open Connect Balance” หรือ “เปิดกว้าง สร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล” นั้น ในการเตรียมการประชุมเอเปค ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพในรอบ 10 ปี แต่ประเทศไทยฐานะผู้จัดงานงานใหญ่กลับไม่เคยประกาศถึงวิธีการและเป้าหมายในการบรรลุข้อตกลงร่วมแบบทวิภาคีกับกลุ่มประเทศสมาชิกเอเปคเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ตกต่ำจากฝีมือของรัฐบาล ไม่เคยมีแผนดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนจากประเทศสมาชิก เทียบไม่ได้กับการประชุมฐานะประธานเอเปคของประเทศไทยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว โดยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้ดำเนินการจัดการประชุมอย่างสมบูรณ์แบบทุกด้าน ผู้นำแต่ละประเทศเห็นความสำคัญกับวาระการจัดงานของประเทศไทย เกิดผลการเจรจาจนสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศมากมาย แต่ในขณะนี้ไทยซึ่งรับตำแหน่งเจ้าภาพอย่างเป็นทางการมาแล้ว 2 เดือน บรรยากาศกลับเงียบสงัด จึงอยากทราบว่ารัฐบาลว่าได้มีการเตรียมความพร้อมมากน้อยเพียงใด กำหนดเป้าหมายในการประชุมในแต่ละประเด็นที่จะสร้างประโยชน์ให้กับประเทศและคนไทยอย่างไรบ้าง หรือสุดท้ายไทยเป็นเพียงประเทศผู้จัดงานในนาม แต่ไม่สร้างประโยชน์ใดๆ ให้กับคนไทยเลยหรือไม่ 

“การบริหารประเทศในประชาคมโลก ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า การที่ประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นและความร่วมมือระหว่างประเทศได้ มีนายกฯที่ไร้ภาวะความเป็นผู้นำ และเป็นนายกฯที่ไม่สง่างาม พล.อ.ประยุทธ์ คือ ผู้นำที่ทำตัวทองไม่รู้ร้อน รู้ปัญหาแต่ไม่หาทางแก้ไข ปล่อยให้คนไทยผจญความทุกข์กันเอง เกือบ 8 ปีที่เป็นนายกฯ มา เข้าร่วมเวทีการประชุมในระดับนานาชาติหลายประเทศ มีเพื่อนสนิทเป็นผู้นำโลกมากมาย สุดท้ายคนไทยได้แต่อาวุธยุทโธปกรณ์กลับมา เสียโอกาส เสียงบประมาณ แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจติดลบแทบกู่ไม่กลับ หยุดสร้างปัญหาแล้วสร้างโอกาสให้กับคนไทยบ้างสักครั้ง วันนี้ประเทศอยู่ในภาวะที่อันตราย ประชาชนไม่มีเงินในกระเป๋าแล้ว” นายวรวัจน์ กล่าว

นายนพ กล่าวว่า นโยบายการต่างประเทศของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ส่งผลให้ข้อตกลงต่างๆ ชะงักลง อาทิ ข้อตกลงเขตการค้าเสรี ไทย-สหภาพยุโรป เพราะประเทศไทยมีผู้นำที่อ่อนแอ ไร้ความสามารถในการสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไร้ความสามารถทางการทูต ส่งผลต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของประเทศ อาจนำไปสู่การเสียเปรียบทางการค้า ดังนั้นสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ต้องเร่งดำเนินการสร้างหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพิ่มบทบาทในฐานะผู้จัดงานเอเปค โดยเฉพาะการพัฒนาระบบธุรกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันในยุคนิวนอร์มัล ได้แก่ สร้างความพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทย ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยมีความรู้ และขีดความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศทั่วโลก จัดหาแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำและปรับให้โครงสร้างภาษีต่ำ เพื่อให้ธุรกิจดิจิทัลรายย่อยสามารถเติบโตได้ สร้างกฎหมายและมาตรการรองรับควบคุมดูแลให้การค้าการลงทุนในระบบดิจิทัลมีความน่าเชื่อถือและปลอดภัย 

“เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียนรองจากประเทศอินโดนีเซีย แต่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์เอาแต่ใช้กฎหมายไล่จับเว็บเถื่อน เก็บภาษีการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เพียงเพราะหาเงินไม่เป็น เก็บรายได้ไม่เข้าเป้า รัฐบาลในฐานะผู้จัดงานเอเปคต้องเตรียมความพร้อมประเทศด้วยแผนพัฒนาธุรกิจดิจิทัลในระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว ที่ชัดเจนและจับต้องได้มากกว่านี้ ก่อนที่นักลงทุนรุ่นใหม่จะเทเม็ดเงินไปลงทุนในต่างประเทศที่เอื้อต่อการลงทุนใหม่ๆ ไปหมด” นายนพ กล่าว

นายจักรพล กล่าวว่า ประเด็นด้านการฟื้นฟูความเชื่อมโยงโดยเฉพาะการเดินทางและการท่องเที่ยวอันประกอบด้วย 1.การจัดทำ APEC Frequent Travel Card หรือ AFTC 2.ข้อเสนอ APEC COVID-19 Health Certification Mutual Recognition และ 3.การขับเคลื่อนประเด็น safe passage นั้น เวทีเอเปคได้พยายามหาแนวทางร่วมมือเพื่ออำนวยความสะดวกและรื้อฟื้นการเดินทางข้ามพรมแดนในภูมิภาคอย่างปลอดภัย เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบโควิด-19 มาตลอด แต่ประเทศไทยโดยพล.อ.ประยุทธ์กลับเป็นผู้นำที่เมินเฉยต่อปัญหาเดิม เพิ่มเติมคือสร้างปัญหาใหม่  เพราะแม้แต่ปัญหาสินค้าไทยที่ส่งออกผ่านรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ที่สร้างผลกระทบให้กับผู้ประกอบการมานานหลายเดือน กลับไม่เคยแก้ปัญหา แต่อ้าแขนรับสินค้าจากจีนที่เข้ามากัดกินส่วนแบ่งตลาดสินค้าของคนไทย ขณะที่การส่งเสริมการเดินทางเข้าออกของคนไทยไปต่างประเทศ ซึ่งยังมีอุปสรรคจากวัคซีนสูตรไขว้ของไทย ที่ได้รับการยอมรับเพียงบางประเทศ แต่ในหลายประเทศคนไทยถูกปิดกั้นไม่ให้เดินทาง เรื่องนี้พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยใช้ความสัมพันธ์ทางการฑูตในการเจรจากับประเทศปลายทางเพื่อให้ยอมรับวัคซีนของคนไทยได้ ปัญหานี้เรื้อรังมานาน หากเรื่องเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไข เรื่องใหญ่ในการประชุมเอเปคก็คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้นรัฐบาลต้องเร่งออกมาตรการที่เกี่ยวกับการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศไทยควบคู่กันไปด้วย.