จากกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เข้าร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ พร้อมเข้าเฝ้าฯ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งซาอุดีอาระเบีย เพื่อหารือข้อราชการ ณ สำนักพระราชวังซาอุดีอาระเบีย (Royal Court) พระราชวังอัล ยะมามะฮ์ (Al Yamamah Palace) ช่วงบ่ายของวันที่ 25 ม.ค. ที่ผ่านมานั้น

ล่าสุด เมื่อวันที่ 26 ม.ค. เพจเฟซบุ๊ก “ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador” ของนายรัศมิ์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยใน​หลายประเทศ ได้โพสต์ข้อความแสดงความเห็นถึงเรื่องดังกล่าวว่า “มีอะไรเบื้องหลังการเยือนซาอุดีอาระเบีย? หลายคนอยากฟังเรื่องการไปเยือนซาอุดีอาระเบียของผู้นำไทยที่ผ่านมา ซึ่งก่อนอื่นผมขอแสดงความยินดีกับพัฒนาการนี้ การกลับมามีความสัมพันธ์ขั้นปกติและที่ดีกับซาอุดีอาระเบียจะอย่างไรถือเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและเป็นสิ่งที่น่ายินดีครับ ส่วนที่คนดูแลความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ออกมาให้ข่าวว่าเรื่องนี้เป็นผลงานล้วนๆของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน อันนั้นจะจริงเท็จแค่ไหนนั้น คงต้องว่ากันอีกที

การเยือนครั้งนี้มีขึ้นอย่างค่อนข้างกะทันหัน และทำให้หลายคนแปลกใจ รวมทั้งไม่ทราบสาเหตุแท้จริงที่แน่ชัด แต่ดูเหมือนจะมาจากการตัดสินใจของทางซาอุดีอาระเบียที่เป็นคนเชิญเอง และที่ขณะนี้อยู่ในสภาวะที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ผู้ที่ติดตามสถานการณ์ในต่างประเทศย่อมรู้ว่าขณะนี้ซาอุดีอาระเบียเองมีปัญหาทั้งภายในและด้านการต่างประเทศอย่างมาก ไม่ว่าความขัดแย้งระหว่างพวกราชวงศ์ด้วยกันเอง ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษย์ชน การทำสงครามในเยเมน การทะเลาะและปิดล้อมกาตาร์ และปัญหาภาพลักษณ์จากการสังหารนายคาชอคกี นักข่าวนักวิจารณ์ชาวซาอุดีอาระเบียอย่างโหดเหี้ยม ทำให้กลายเป็นที่รังเกียจและหลายประเทศต้องรักษาระยะห่าง ไม่อยากคบค้า ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลถึงการทำธุรกิจ การลงทุนต่างๆที่กระทบถึงเศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบียอย่างมาก

“บิ๊กตู่”เยือนซาอุฯเข้าเฝ้ามกุฎราชกุมาร หารือความสัมพันธ์ 2 ประเทศ

และอย่างที่นักวิเคราะห์ทั่วไปรู้กัน คือผู้มีอำนาจในซาอุฯขณะนี้เป็นอีกสายหนึ่งกับทางเจ้าชายที่ถูกโจรกรรมเพชรมาไทย จึงอาจไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องนี้นัก รวมทั้งเรื่องการสังหารนักธุรกิจพระญาติสนิทราชวงศ์คนก่อนในไทยด้วย เมื่อประกอบรวมกัน ก็มีความเป็นไปได้ว่านี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทางซาอุดีอาระเบียเชิญผู้นำไทยไป ไม่ว่าจะเพื่อแสดงบทบาทด้านการต่างประเทศ หรือการยกบทบาทให้กับมงกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบียก็ตาม

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ปัจจุบันทางซาอุดีอาระเบียอาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการโจรกรรมเพชรและการฆ่านักธุรกิจเชื้อพระวงศ์เช่นเดิมนัก แต่ถึงกระนั้นก็ไม่น่าที่จะลืมเรื่องนี้โดยง่ายดาย และเท่าที่เห็นรัฐบาลไทยปัจจุบันก็ไม่สามารถคลี่คลายคดีทั้งสองที่เป็นเงื่อนไขสำคัญในการนำไปสู่การปรับความสัมพันธ์ระหว่างกันได้แต่อย่างใด จึงทำให้ยากจะมองได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะผลมาจากการดำเนินการแก้ไขปัญหาของฝ่ายไทยเป็นหลัก

เรียนตามตรงว่าผมเองยังรู้สึกเรื่องนี้อาจมีอะไรที่ซับซ้อนมากกว่านี้ที่ยังไม่รู้ เพราะดูมันปุบปับแบบแปลกๆ และจะว่าไปการพยายามแก้ไขเรื่องนี้ของฝ่ายไทยก็มีมาตลอด ที่บอกว่านี่คือผลงานล้วนๆของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันนั้น ผมจึงไม่แน่ใจนัก โดยเฉพาะมาจากผู้ที่เคยพูดได้ถึงขนาดสหรัฐได้มาเตือนตนล่วงหน้าว่าจะโจมตีอิหร่าน จนเป็นที่อับอายขายขี้หน้าไปทั่วโลกมาแล้ว

นอกจากนี้ผมมีข้อสังเกตว่าไปเยือนคราวนี้ ฝ่ายไทยเป็นฝ่ายบินไปหาเขา แต่ไม่ได้ถูกจัดให้เข้าพบกษัตริย์-นายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบียแม้สักนิด ซึ่งแลดูไม่ค่อยสมศักดิ์ศรี หรือก็คือเขาก็ไม่ได้ให้เกียรติอะไรเรานัก ไม่ทราบว่าทำไมไม่สามารถเจรจาให้มีโอกาสเข้าพบกษัตริย์-นายกรัฐมนตรีของเขาเลย

แล้วก็เห็นภาพนายกรัฐมนตรีไทยไปยืนยกมือไหว้ฝ่ายเขาปลกๆทั้งที่เทียบระดับเขาต่ำกว่าก็อดขำขื่นๆไม่ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยินดีด้วยนะครับในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองนี้”

ขอบคุณเพจเฟซบุ๊ก “ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador”