วันที่ 19 ก.ค.นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกลกล่าวถึงกรณีตำรวจใช้อาวุธเกิดความรุนเเรงต่อประชาชน เเละสื่อมวลชนในกลุ่มชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอกเมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า ตนขอทบทวนอีกครั้งว่าที่ประชาชนออกมาชุมนุมกันในครั้งนี้ พวกเขามีวัตถุประสงค์ต้องการให้เกิดการดำเนินการอะไรบ้าง ข้อเรียกร้องของพวกเขามีอยู่ 3 ข้อ คือ 1. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยไม่มีเงื่อนไข 2. ปรับลดงบประมาณเกี่ยวกับสถาบัน ที่มีอยู่ถึง 37,228 ล้านบาท และงบประมาณของกองทัพ เพื่อนำงบประมาณเหล่านั้นมาช่วยแก้ปัญหา โควิด-19 3. หยุดซื้อวัคซีนด้อยคุณภาพที่เอื้อประโยชน์ต่อนายทุน แล้วไปจัดหาวัคซีนคุณภาพสูงมาฉีดให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุด

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ทั้ง 3 ข้อนี้ล้วนเป็นข้อเรียกร้องที่มาจากการที่ประชาชนได้เห็นแล้วว่าในวิกฤตการระบาดของโรคโควิด19 นั้น รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ล้มเหลวในทุกด้าน ล้มเหลวในการเยียวยาปากท้องผู้ได้รับผลกระทบ ล้มเหลวในการบังคับลูกน้องตัวเองให้ได้เหมือนที่บังคับกับประชาชน ล้มเหลวในการสื่อสารให้รู้เรื่อง ล้มเหลวในการจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสม ตัดสิ่งฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเพื่อนำทรัพยากรที่มีจำกัดมาใช้ให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดในการแก้ปัญหาใหญ่ที่มีอยู่ ล้มเหลวในการจัดหาวัคซีนเพื่อประโยชน์ต่อชีวิตของประชาชนทั้งประเทศเป็นสำคัญที่สุดจริงๆ มิใช่เอาประโยชน์ต่อความมั่งคั่งหรือชื่อเสียงของใครมาอยู่เหนือกว่า ล้มเหลวแม้กระทั่งการมองประชาชนให้เป็นมนุษย์ไม่ใช่แค่ตัวเลข สิ่งที่รัฐบาลนี้ทำได้ดีมีแค่การปิดปากประชาชนไม่ให้พูดแม้กระทั่งข้อเท็จจริง มีแค่การออกข้อกำหนดมาเพื่อคุ้มกะลาหัวตัวเอง มีแค่การซุกซ่อนข้อเท็จจริงที่สำคัญต่อชีวิตประชาชนแล้วมาพูดโกหกเป็นนอย่างอื่นอย่างหน้าไม่อาย และมีแค่การกล่าวโทษโยนบาปให้กับประชาชน

สิ่งที่เกิดขึ้นจริงจากที่ตนได้ไปร่วมสังเกตการณ์มา หลังจากเริ่มเดินขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อเวลาประมาณ 15.10 น. เดินไปได้ไม่ถึง 500 ม.ถึงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ผู้ชุมนุมพยายามเข้าไปเจรจาต่อรองเพื่อใช้เส้นทาง ถ.ราชดำเนินนอก ปรากฏว่าแค่เพียงมีการรื้อสิ่งกีดขวางเพื่อเปิดทาง ยังไม่ได้เข้าประชิดตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจแม้แต่น้อย ฝ่ายตำรวจก็เริ่มใช้รถฉีดน้ำฉีดใส่ผู้ชุมนุม โดยระยะเวลาที่แจ้งเตือนกับที่ดำเนินการจริงนั้นกระชั้นชิดมาก จากนั้นก็ยกระดับเป็นการใช้แก๊สน้ำตากับกระสุนยางอย่างรวดเร็ว ในบริเวณนี้เองที่ปรากฏว่ามีผู้สื่อข่าวถูกยิงกระสุนยางได้รับบาดเจ็บด้วยแม้ว่าจะสวมปลอกแขนสื่อมวลชนแสดงไว้อย่างชัดเจนแล้วก็ตาม จนสุดท้ายผู้ชุมนุมต้องตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางเดินขบวนไปทางถนนนครสวรรค์

พอขบวนเดินทางมาถึงช่วงระหว่างแยกนางเลิ้งและสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ก็พบว่าการปฏิบัติของฝ่ายตำรวจนั้นยิ่งแล้วใหญ่ เพราะกลายเป็นแค่มีผู้ชุมนุมไปปรากฏตัวอยู่ในระยะห่างออกไปหลายสิบเมตรก็ถูกระดมยิงด้วยกระสุนยางและแก๊สน้ำตา ซึ่งมีข้อสังเกตด้วยว่ากระสุนแก๊สน้ำตาที่ใช้ในครั้งนี้มีฤทธิ์รุนแรงกว่าที่เคยใช้ในครั้งก่อนๆ จนผู้ชุมนุมต้องล่าถอยออกมาตั้งหลัก และพบผู้หมดสติจากการสัมผัสแก๊สน้ำตา หลายคนยังต้องถอดหน้ากากอนามัยออกเนื่องจากหายใจไม่สะดวกทำให้ยิ่งเสี่ยงต่อการติดโรค หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงยิงแก๊สน้ำตาอย่างต่อเนื่องใส่ผู้ชุมนุมที่ยังวนเวียนอยู่ รวมถึงมีการยิงขนาบข้างมาจากในโรงเรียนราชวินิตและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ซึ่งระยะยิงที่ไกลทำให้แก๊สน้ำตาส่งผลมาถึงผู้ชุมนุมที่ถอยมาตั้งหลักแล้วด้วย หลังจากมีประกาศยุติการชุมนุมแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังคงใช้อาวุธทั้งรถฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา และกระสุนยาง ไล่จัดการกับผู้ชุมนุมที่ยังตกค้างอยู่ต่อไปแม้มีจำนวนน้อยแล้ว และตามจับกุมบางคนไปอย่างที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำต่อประชาชนนั้นเกินเลยกว่าเหตุเป็นอย่างยิ่ง อาวุธต่างๆ ถูกเริ่มใช้โดยที่ยังไม่ได้มีเหตุของการกระทำอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ ใช้โดยไม่แยกแยะบุคคลที่ไม่ได้มีท่าทีจะกระทำอันตรายและไม่คำนึงว่าจะก่อให้เกิดการบาดเจ็บร้ายแรง มิเช่นนั้นคงไม่เกิดกรณียิงกระสุนยางใส่นักข่าว หรือกรณีผู้ถูกกระสุนยางยิงใส่ที่ใกล้ดวงตา แสดงให้เห็นว่าตำรวจใช้อาวุธดังกล่าวผิดจากหลักที่ไม่ควรเล็งไปที่ส่วนหัวหรือใบหน้า และเมื่อได้เริ่มใช้อาวุธเหล่านี้แล้วก็มักใช้ต่อเนื่องไม่หยุดแม้โดยสถานการณ์ขณะนั้นจะไม่จำเป็นต้องใช้แล้วก็ตาม นอกจากนี้ในส่วนของการจับกุมยังกระทำโดยมิได้แสดงหมายจับ และไม่ใช่การจับกุมซึ่งหน้าขณะกระทำผิด จึงเป็นการจับกุมโดยมิชอบ อีกทั้งสถานที่ควบคุมตัวคือ บก.ตชด. ภาค 1 นั้นไม่ใช่สถานที่โดยชอบด้วยกฎหมายที่จะควบคุมตัวได้ แม้ในอดีตจะเคยมีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงที่กำหนดให้ใช้สถานที่ดังกล่าวแต่ก็ยกเลิกไปแล้วตั้งแต่วันที่ 22 ต.ค. 2563 การที่ตำรวจยังใช้สถานที่ดังกล่าวจึงเป็นการทำผิดกฎหมายเสียเอง

ตนขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการปฏิบัติหน้าโดยมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ รวมไปถึงองค์การระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นองค์การสหประชาชาติหรือองค์การด้านสิทธิมนุษยชนอื่นๆ เข้ามาตรวจสอบกรณีการสลายการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งเมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา และในครั้งอื่นๆ ก่อนหน้านั้น และร่วมกันสร้างหลักประกันว่ามันจะไม่เกิดขึ้นมาอีก  ความอดทนที่ประชาชนมีอยู่ในวันนี้ วันหนึ่งข้างหน้ามันจะถึงจุดสิ้นสุดแม้ไม่มีใครต้องการให้เป็นเช่นนั้นก็ตาม และหากวันใดเกิดฟางเส้นสุดท้ายหรือน้ำผึ้งเพียงหยดเดียวขึ้นจนสถานการณ์ลุกลามบานปลายอย่างไม่หวนกลับ รัฐบาลจะมาโทษใครไม่ได้อีกแล้วนอกจากโทษตัวเอง