สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ว่า นพ.บอริส พาฟลิน ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา จากทีมตอบสนองฉุกเฉินต่อโรคโควิด-19 ขององค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) กล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เกี่ยวกับรายงานที่เริ่มออกมามากขึ้น เกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนา “สายพันธุ์ย่อย” ของเชื้อกลายพันธุ์ตัวหลักคือ โอมิครอน หรือ บีเอ.1 ที่แตกแขนงออกไปเป็นหลายสายพันธุ์ โดยพบมากที่สุดตอนนี้ คือ บีเอ.2


ผลการวิเคราะห์ในเบื้องต้นของดับเบิลยูเอชโอ พบว่าบีเอ.1 และบีเอ.2 “ไม่มีความแตกต่าง” ในด้านการก่อความรุนแรงของโรค และวัคซีนที่กำลังใช้งานกันอยู่ “มีประสิทธิภาพเพียงพอ” รับมือกับเชื้อโอมิครอนทุกสายพันธุ์ อย่างไรก็ตาม เชื้อบีเอ.2 “มีศักยภาพเพียงพอ” ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นสายพันธุ์หลักของโลก แทนเชื้อบีเอ.1 โดยอ้างอิงจากผลการศึกษาในเดนมาร์ก ซึ่งระบุว่า เชื้อบีเอ.2 ติดต่อง่ายกว่าเชื้อบีเอ.1 ประมาณ 1.5 เท่า


ขณะที่ผลการวิจัยของสหราชอาณาจักรระบุว่า เชื้อบีเอ.2 มีอัตราการแพร่ภายในครัวเรือน 13.4 เมื่อเทียบกับเชื้อบีเอ.1 ซึ่งมีอัตราอยู่ที่ 10.3 ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังคงต้องศึกษาค้นคว้าอีกมาก.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES