กลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวดราม่าในโลกออนไลน์ที่หลายคนสนใจอย่างมากมายสำหรับเรื่องของ “ติ๋ม ทีวีพูล” ผู้บริหารคนดังกับอดีต พส.ที่ลาสิกขาออกมาเป็นคนธรรมดาและอยู่ท่ามกลางความสนใจของแฟนๆ อย่าง ทิดสมปอง นครไธสง ที่ล่าสุดติ๋มขอตั้งโต๊ะแถลงข่าวประกาศตัดขาดทิดสมปองต่อหน้าสื่อมวลชน พร้อมแฉยับถึงปมแตกหัก วีรกรรมต่างๆ ทั้ง อยากรวย ไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจสีเทา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าล่าสุด ทิดสมปอง นครไธสง ได้เปิดใจให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องเรื่องราวดราม่าทั้งหมดอีกครั้งผ่านทางรายการโหนกระแส โดยมีหนุ่ม กรรชัย เป็นพิธีกร ว่า “สำหรับที่เกิดขึ้นกับพี่ติ๋มนั้น ผมยอมรับว่าตัวเองผิด และสิ้นคิดมาก ที่ไปแบบไม่ได้ลา ผมต้องขอโทษจริงๆ และเรื่องเงิน 1 ล้านที่รับมานั้น รับมาจริง แต่เป็นเงินค่าตัวล่วงหน้า 4 เดือน แต่เมื่อไม่ได้ทำงานแล้ว ก็จะนำเงินส่วนนี้ไปคืนพี่ติ๋ม ถามว่าอยากเข้าไปเคลียร์ไหม ก็อยากเข้าไปเคลียร์และพูดคุยปรับความเข้าใจ เพราะยังไงพี่ติ๋มก็เปรียบเสมือนกับพี่สาวของผมอีกคน มีอะไรพูดคุยกันได้ เตือนกันได้เสมอ

ส่วนเรื่องธุรกิจสีเทาที่มีนักข่าวไปถามพี่บุ๋มนั้น ผมขอยืนยันว่าไม่มีแน่นอน 100% สึกออกมาแค่ 40 วัน จะไปทำอะไรได้มากขนาดนั้น พี่บุ๋มผมก็นับถือเป็นพี่สาวอีกหนึ่งคน ตอนงานศพงานน้องสาวผม พี่บุ๋มก็เสียสละเวลามาช่วยแม้จะอยู่ไกลมาก ซึ่งผมบอกเลยว่าถ้าพี่บุ๋มรู้ว่าผมทำธุรกิจสีเทาอะไรพูดออกมาเลย แต่ผมยืนไม่ได้ทำแน่นอน สุดท้ายแล้วถ้าบางเรื่องผมผิดพลาดจริง ก็แค่เตือน บอกกันตรงๆ มาได้เลย เพราะยังไงผมก็มองทุกคนเป็นพี่

สำหรับเรื่องตู้ไวน์ ตอนผมสึกมาพี่ติ๋มให้ผมลองชิม เพราะบอกว่ามันเป็นการเข้าสังคม เราต้องลองชิมดูบ้าง ซึ่งพี่ติ๋มก็ได้เตือนเราไว้ว่า ถ้าในที่สาธารณะอย่าไปดื่มให้ใครเข้าเห็น ให้ดื่มที่บ้าน ผมซึ่งพูดแซวเล่นๆ ว่า ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อตู้มาไว้ที่บ้านสิ ซึ่งผมไม่คิดว่าพี่ติ๋มจะซื้อมาจริง ผมก็แช่ก็เอาไว้แช่ไวน์ และก็แช่น้ำเปล่าไว้ด้วย

ทิดสมปองกล่าวต่อ “เรื่องที่บอกว่าผมขโมยไวน์ไป จริงๆ วันนั้นที่ไปเก็บของ ไวน์ที่ผมทานไว้เหลือแค่ครึ่งขวด ผมคิดว่าทิ้งไว้ก็ไม่มีใครกล้ากินเพราะผมกินไปแล้ว จึงได้หยิบมาด้วยเท่านั้นเอง ผมยืนยันว่าผมไม่ได้ติดไวน์ คือถ้าไม่เข้าสังคมก็จะไม่ดื่ม และตอนที่เป็นพระก็ไม่เคยดื่ม ส่วนเรื่องรูปคู่ที่ว่าคู่กันนั้นมีคนจัดวางไว้เอง ผมไม่ได้เป็นคนวาง พอตอนผมไปเก็บของมันเป็นสัญชาตญาณ ผมก็เก็บแค่รูปผมไป ไม่ได้หยิบรูปคนอื่นมาด้วยเท่านั้นเอง

ส่วนเรื่องเสื้อผ้าเป็นเรื่องความรัก ความเมตตาที่ทางผู้บริหารเขาอยากจะมอบให้ วันนั้นผมก็เลยตอบแทนด้วยการไลฟ์สดผ่านเพจ ซึ่งก็ถามตลอดว่าตัวนี้ได้ไหม ตัวไหนได้ก็ได้ ตัวไหนได้ก็ไม่เอา ไม่รู้ว่าเสื้อผ้าราคาแพง ตอนไลฟ์ก็ไม่รู้ราคาเสื้อผ้าเลย ยังไม่รู้เรื่องสีด้วย ผมยังให้เขาช่วยเลือกเลย

สำหรับเรื่องหนี้ มีหนี้จริงละ ผมต้องดูแลทีมงาน ส่วนเรื่องจะทำงาน 3 เดือน แล้วได้เงิน 100 ล้านนั้น จริงๆ แล้วผมไปดูดวงมา ซึ่งผมก็เป็นสายมูคนหนึ่ง พระท่านทักว่าภายใน 3 เดือน หรือ 100 วัน จะได้เงิน 100 ล้าน ผมก็เลยมาเล่าให้พี่ติ๋มฟังแค่นั้นเอง และเรื่องที่ดิน ส.ป.ก.นั้น ผมไม่รู้เรื่องเลยอะไรมาก เริ่มมาจากญาติพี่น้องมาขอยืมเงินไปซื้อที่มาไร่ไถ่นาตามประสา ตอนนั้นผมไม่มีเงิน แต่ด้วยความหน้าใหญ่ใจโตก็ไปหยิบยืมมาให้ ซึ่งก็เป็นส่วนของหนี้ด้วย จนสุดท้ายญาติทำไม่ไหวก็กลายเป็นหนี้

ส่วนเรื่องว่าเป็นที่ดิน ส.ป.ก. ไหมนั้น อันนี้ไม่รู้เรื่องเลย เพราะผมไม่ได้ดูหลักฐาน ตอนนั้นที่ญาติเข้ามายืมเงิน ผมก็มีหน้าที่จ่ายเงินอย่างเดียว และเรื่องที่บอก 300 ไร่ ผมก็พูดอย่างนั้น เป็นคนติดนิสัยพูดเล่น และผมไม่ได้เป็นคนซื้อเลย ไม่ทราบจำนวนแท้จริง แค่ถ้าที่ดินเป็นที่ของ ส.ป.ก.จริง ถ้าถูกยึดก็คงต้องว่าไปตามกฎหมาย

สำหรับเรื่องความรัก ยืนยันว่าไม่มีความรักแน่อน ผู้หญิงที่เป็นข่าวที่เป็นแม่ค้าออนไลน์นั้น เป็นเพื่อนที่รู้จักกัน เขามีสามี มีลูกแล้ว 2 คน สามีเขาเราก็สนิท ลูกเขาก็เปรียบเหมือนหลานเรา ซึ่งผู้หญิงคนนี้ก็คือคนที่พี่ติ๋มไม่อยากให้คุยด้วย ซึ่งผมก็บอกไปแล้วว่าเป็นเพื่อนกันจริงๆ ไม่มีวันจะเป็นไปได้แน่นอน

ส่วนประเด็นความสัมพันธ์ชู้สาวกับพี่ติ๋มนั้น อย่าไปคิดอย่างนั้น พี่ติ๋มก็เป็นพี่สาวเหมือนพี่บุ๋ม ผมเป็นเหมือนลูกพี่ติ๋มด้วยซ้ำ ถ้าเราจริงใจต่อกัน เรากอดกันได้ปกติ ไม่มีอะไร ซึ่งหลายๆ คนก็รู้ว่าผมเป็นคนชอบกอด มันเป็นการแสดงความรักต่อกันแบบปกติ ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นแน่นอน ตัดออกไปได้เลย ซึ่งหนี้ 10 ล้าน ตอนนี้ก็กำลังหาใช้อยู่ ถ้าถามว่าจะมีโอกาสคุยกันไหม ถ้าพี่ติ๋มให้โอกาสก็พร้อมจะเข้าไปขอขมา และพูดคุยกัน”

“ส่วนเรื่องเบี้ยวงานไม่ใช่เลย งานนั้นเป็นงานฟรีที่ผมไปทำด้วยใจ ไม่รับเงินสักบาทแม้แต่ค่าน้ำมัน ตอนนั้นมองเป็นการทำบุญช่วยวัด เราก็ไปช่วย ไปไลฟ์สดให้ ซึ่งผมมองว่ามันเป็นเพจผม ผมสามารถจัดการได้ เพราะไม่ใช่งานจ้าง ทางทีมเห็นแล้วว่ามันมีคอมเมนต์เชิงลบมากเกินไป ก็เลยตัดสินใจลบคลิปนั้นทิ้งไป”

“สุดท้ายผมอยากจะย้ำกับทุกๆ คนว่า พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต มรณภาพตายไปแล้ว ตอนนี้เหลือแค่นายสมปอง นครไธสง แม่ปอง ทิดสมปอง ผมอยากให้ทุกคนเลิกเอาจีวรมาห่มผมได้แล้ว อยากให้ทุกคนแยกให้ออกอย่างชัดเจน ผมได้ลาสิกขาออกมาใช้ชีวิตเป็นฆราวาสแล้ว ในความทรงจำหลายคนยังมองว่าผมเป็นพระ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ให้เวลาผมได้เรียนรู้กับโลกนี้ด้วย ให้ผมได้ใช้เวลาวัยรุ่นบ้าง อยากให้ทุกคนเข้าใจผม แยกการเป็นพระการฆราวาส ให้ผมได้ใช้ชีวิต”.