ยังคงเป็นประเด็นที่หลายคนสนใจหนักมากสำหรับกรณีของ น.ส.แพรพลอย แซ่เอี้ย อายุ 24 ปี เทรนเนอร์สาวและนักมวย ประเคนเตะต่อยหนุ่มเมาเอาน้ำราดศีรษะ หลังโมโหที่ไม่ยอมชนแก้วด้วย โดยทางด้านโรงแรมดังกลางกรุงต้นสังกัดของหนุ่มคนดังกล่าว ได้ประกาศลงโทษขั้นสูงสุด เลิกจ้างพนักงาน ไม่สนับสนุนการกระทำความผิด รวมถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทั้งในและนอกเวลาปฏิบัติงานนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ก.พ. ภายหลังจากที่เรื่องราวที่เกิดขึ้นแพร่หลายในโลกออนไลน์ออกมา โดยปรากฏว่าทาง สน.ห้วยขวาง ได้แจ้งข้อหาฝ่ายชาย ฐานทำสิ่งสกปรกเปรอะเปื้อนและทะเลาะวิวาท ส่วนฝ่ายหญิงถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นและทะเลาะวิวาท ปรับคนละ 1,000 บาท โดยโทษในคดีดังกล่าวได้เกิดกระแสวิจารณ์อย่างรุนแรง อาทิ

-‘แพรพลอย’ ไล่เตะหนุ่มราดหัว-คู่กรณี ตร.ปรับคนละพัน ฝ่ายชายไหว้ขอโทษ

-ไม่ควรปรับฝ่ายหญิงเท่ากับฝ่ายชาย โดยขอมองแก่นแท้และสาระของเรื่อง เพราะถ้าเป็นการปรับผู้หญิง 1,000 บาท แต่จำนวนเงินที่ปรับฝ่ายชายมากกว่าหลายเท่าจึงจะแฟร์ เพราะหากฝ่ายชายไม่เริ่ม เรื่องราวต่าง ๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น และเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่ผู้ชายที่เสียหน้าเพราะผู้หญิงไม่ยอมชนแก้วเท่านั้น เพราะผู้หญิงโดนเหล้าราดหัว ภาพลักษณ์พังหมด หัวก็เปียก ชุดก็เปียก อารมณ์ก็เสีย ถ้าเผลอ ๆ มากับผู้ชายที่คุย ๆ กันอยู่ จู่ ๆ มาโดนน้ำราดหัวแบบนี้ ใครไม่โมโหก็บ้าแล้ว

-สมมุติถ้าเขาสามารถคุมสติ ไม่ไปทำร้ายร่างกายนี่ได้เนี่ย กฎหมายมีอะไรที่สามารถเอามาใช้ลงโทษได้เพียงพอไหม ประเด็นมันคือไม่มีอะไรไง สังคมจึงต้องมาสะใจกับการทำร้ายร่างกายกลับ แทนที่จะได้รู้สึกถึงความยุติธรรมจากกฎหมายอย่างที่มันควรจะเป็น ซึ่งไม่ดีเลย คือถ้าบทสรุปที่น่าพึงพอใจได้ในสังคมมันจบลงแค่จากศาลเตี้ย จะมีกฎหมายไปทำแมวอะไร ในประเทศเจริญแล้ว ราดน้ำใส่หัวคนอื่นมันคือ assault ดำเนินคดีตามกฎหมายได้มากกว่าแค่ปรับนิดหน่อยแล้วจบกัน ถ้าราคาที่ต้องจ่ายจากการใช้กำลัง หรือเหยียดหยามผู้อื่นมันมากพอ คนมันคงจะคิดกันก่อนลงมือทำอะไรมากกว่านี้นะ

-นั่งกินข้าวอยู่ดี ๆ โดนราดน้ำบนหัวและต้องมาเสียเงิน 1,000 ทั้งที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ งึดเด้ และแม่ไม้มวยไทยควรจะถูกบรรจุในวิชาพละแทนวิชากระบี่กระบองอะไรนั่น..