ภายหลังจาก “นิชคาร์ กรุ๊ป” ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์แมคลาเรนอย่างเป็นทางการในประเทศไทยได้เปิดตัว “แมคลาเรน เอลวา” ที่สร้างความฮือฮาด้วยการเป็นไฮเปอร์คาร์ 2 ที่นั่ง ไร้หลังคาและกระจกบังลมหน้า โครงสร้างแชสซีและตัวถังขึ้นรูปด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา ถ่ายทอดมาจากสนามฟอร์มูล่าวัน สั่งทำพิเศษกระจกหน้า และหน้าต่างด้านข้าง สามารถกระตุ้นการรับรู้ของผู้ขับขี่ได้เต็มที่ นับเป็นโรดคาร์น้ำหนักเบาที่สุดแค่ 1,274 กก. ผลิตจำกัดเพียง 149 คันในโลก โดยในเมืองไทยมีโควตาเพียง 2 คันเท่านั้น ในราคา 200 ล้านบาท

เอลวาได้ติดตั้งระบบ Active Air Management System (AAMS) เป็นครั้งแรกของโลก โดยระบบจะลำเลียงอากาศผ่านจมูกของตัวรถแล้วผันออกทางฝาครอบด้านหน้าด้วยความเร็วสูง ก่อนที่จะเหินขึ้นเหนือห้องผู้โดยสารเพื่อสร้างลูกโป่งที่เป็นเสมือนเกราะกำบังให้กับผู้โดยสาร โดยระบบ AAMS ประกอบด้วยช่องรับลมตรงกลางขนาดใหญ่ที่อยู่เหนือสปลิตเตอร์ ช่องระบายอากาศของฝาครอบและตัวเบี่ยงลมคาร์บอนไฟเบอร์ที่สามารถยกขึ้นและลดระดับได้ในแนวตั้ง เมื่อ AAMS ทำงานอยู่ ตัวเบี่ยงลมบริเวณขอบของช่องระบายอากาศที่ฝาครอบด้านหน้าจะถูกยกขึ้น 150 มม. เพื่อสร้างพื้นที่แรงดันต่ำที่ช่องระบายอากาศ ซึ่งอากาศที่ถูกระบายออกมาจะถูกผันออกในรัศมี 130 องศา ผ่านโครงข่ายของใบพัดตามขวางที่ติดตั้งอยู่ตลอดความยาวของด้านหน้า คอยทำหน้าที่กระจายกระแสลมทั้งด้านหน้าและด้านข้างของห้องโดยสาร

สำหรับการขับขี่ในเมือง ระบบ AAMS จะปิดใช้งานเนื่องจากระดับความเร็วของรถและการไหวของอากาศเข้าสู่ห้องโดยสารไม่ได้สูงมาก แต่เมื่อความเร็วของรถเพิ่มขึ้น ระบบ AAMS จะทำงานโดยอัตโนมัติจนกว่าความเร็วจะลดลง ส่งสัญญาณให้ตัวเบี่ยงลมหดกลับ แต่ผู้ขับก็สามารถกดปุ่มปิดระบบเองได้ด้วย นอกเหนือจากนี้ ขอบท้ายยังติดตั้งแอร์เบรกแบบแอคทีฟแบบเต็มความกว้างของรถ โดยความสูงและมุมของแอร์เบรกได้รับการปรับแต่งเพื่อให้เกิดสมดุลอากาศที่เหมาะสมที่สุด

หลังจากเปิดตัวแล้ว นิชคาร์ได้จัดทดสอบแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ที่สนามพีระ เซอร์กิตฯ ทันที โดยผู้ทดสอบจะเป็นผู้นั่งดูเส้นทางที่นักแข่งทำหน้าที่แนะนำ ก่อนจะสลับให้ลองขับจริง แน่นอนว่าการเข้า-ออกของเจ้าไฮเปอร์คาร์ไม่ธรรมดา เพราะเบาะนั่งออกแบบมาโดยเฉพาะ แต่จะสั้นกว่าเบาะนั่งของรถแมคลาเรนทั่วไปนิดนึง เพื่อทำให้มีพื้นที่ยืนระหว่างการเข้า-ออกต้องยืนเท่านั้น

ส่วนฟังก์ชันการใช้งานไม่มากเพราะการออกแบบที่ต้องการให้เชื่อมระหว่างคนขับและตัวรถเป็นหนึ่งเดียว ทั้งลำโพงอยู่ข้างหู ฟังเสียงเครื่องยนต์เบนซิน วี8 ขนาด 4.0 ลิตร กับแรงม้า 815 ตัวขนาดใหญ่ และแรงบิด 800 นิวตัน-เมตร ที่กระชากความรู้สึก ส่งกำลังด้วยเกียร์ดูอัลคลัตช์ 7 สปีด ทำหน้าที่ส่งกำลังไปยังล้อหลัง โดยอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายในเวลาเพียง 2.8 วินาที ใส่ล้อหน้าขนาด 245/35R19 และล้อหลัง 305/30R20 เกาะหนึบแน่น ๆ ทางด้านเบรกจากความเร็ว 100 กม./ชม. ถึงจุดหยุดนิ่งมีระยะเบรกสั้นเพียงแค่ 29.5 เมตร แต่เอาเข้าจริง ๆ ทั้งอัตราเร่งและระยะเบรกแทบไม่ทันสังเกต เพราะอัตราเร่งมาเร็วมาก ๆ ส่วนฟิลลิ่งการขับนั้นทั้งเร็วทั้งเบา ก็ขอขับแค่ในสนามก็พอ

มากไปกว่านั้น ยังใช้ฟังก์ชัน Adaptive Dynamics Controls เพื่อเปลี่ยนโหมดการควบคุมรถและระบบส่งกำลังได้ 3 รูปแบบ คือ คอมฟอร์ต, สปอร์ต และแทรค ปรับลักษณะการขับขี่ให้เข้ากับอารมณ์ รวมถึงการปรับโหมด ESC ที่เลือกได้ 3 ระดับ เพิ่มหลังบ้านช่องพิเศษเพื่อสร้างดาวฟอร์ช แต่ไม่มีสปอยเลอร์ที่ขึ้นออโตเพราะมีกระจกที่ดันลมผ่าน อีกไฮไลต์ เมื่อเปิดด้านหลังสามารถเห็นกรองอากาศได้ผ่านกระจกเหมือนนั่งในเครื่องบินเอฟ 16 แม้ไม่มีกระจก โดยอากาศที่ดันจากหน้ารถเข้ามาคลุมบนหัวทั้งหมด ดังนั้นตอนฝนตกหรือขับกลางคืนที่มีแมลงจะไม่เข้าตาหรือเปียกฝน (กรณีฝนตกไม่หนัก) โดยรวมเอลวาเป็นไฮเปอร์คาร์ที่พัฒนาเพื่อนักขับที่เอาเอลวาอยู่ ที่สำคัญต้องมีเงินเหลือ ๆ อีกด้วย.