จากที่ บิวกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล นักแสดงและศิลปินชื่อดัง ในสังกัด นาดาว บางกอก  ได้เข้าแจ้งความที่ สน. บางพลัด กรณีมีผู้ไม่หวังดีบุกรุกพื้นที่ส่วนตัว และขับรถตามไปยังบ้าน เมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เจ้าตัวรู้สึกกังวล และเป็นห่วงความปลอดภัยของครอบครัว ล่าสุด บิวกิ้น ได้เปิดใจถึงเรื่องราวดังกล่าวแบบหมดเปลือก โดยบอกว่าตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ กำลังเร่งหาตัวผู้ที่ทำต่อไปอยู่ คาดว่าเป็นผู้หญิง และเบื้องต้นรู้ว่าเป็นรถเช่าที่ขับตาม

บิวกิ้น เผยว่า  “มันเริ่มจากวันเสาร์ที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา ผมออกจากบ้านจะไปหาเพื่อนแถวพระราม 4 จากหน้าบ้านผม พอขับออกมาก็จะขึ้นทางด่วนได้เลย พอขึ้นปุ๊บก็เริ่มรู้สึกเหมือนมีคนขับตาม แต่เราไม่ได้มั่นใจ เพราะปกติผมขับรถก็จะสังเกตรถรอบ ๆ อยู่แล้ว  เวลารถขับมาเร็วเราก็จะหลบออก แต่คันนี้พอเราหลบเข้ามา เขาก็ไม่ยอมแซง เขาขับตามเรา  ผมก็ขับชิดซ้าย เขาก็ตามมา ผมก็เลยขับชิดขวา เขาก็ยังตามมาอีก แต่ยังไม่มั่นใจเท่าไหร่ เพราะตอนเช้ารถค่อนข้างติด รถมันเยอะมาก จนถึงเราลงทางด่วนพระราม 4 พอมาถึงทางขึ้น ที่จะเป็นสะพาน ผมก็จะลองเช็กดูว่ายังตามอยู่หรือเปล่า เพราะตามมาตั้งแต่ทางด่วนหน้าบ้าน มาถึงพระราม 4 คือตามขับต่อเรา ไม่ให้ใครแทรกเลย  ผมก็ลองขับไปเลนขวาสุดแล้วก็ปาดกลับมาขึ้นสะพานตรงใกล้ ๆ เส้นทึบเลย เขาก็ปาดตามผมมาอีก คือถ้าเกิดเขาขึ้นสะพาน ก็น่าจะไปเลย แต่ถ้าเขาไม่ขึ้นก็ไม่น่าจะชิดขวาปาดเหมือนผม พอชิดซ้ายผมก็เลยจอดตรงหน้าจามจุรี สแควร์ เขาก็มาจอดต่อท้ายผมแปบนึง ผมก็เปิดไฟฉุกเฉิน เขาจอดแปบนึงแล้วก็ขับเบี่ยงออกไป แล้วเลี้ยวเข้าไปในจามจุรี สแควร์ ผมก็เลยไหลรถออกมาช้าๆ แล้วพยายามดูข้างหลังว่ามีใครตามหรือเปล่า แล้วเขาก็วนออกมาจากจามจุรี สแควร์ พอดีกับจังหวะไฟเขียวกำลังจะหมด ผมรีบพุ่งข้ามแยกไป เขาติดไฟแดง ก็เลยคลาดกันตรงนั้นในวันแรกครับ

พอวันที่สองเป็นวันจันทร์ที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา ผมไปไลฟ์งานที่โรงแรมบันยันทรี ก็จะมีการประกาศว่าเราทำงานที่ไหนเป็นปกติอยู่แล้ว ก็ทำงานเสร็จปกติไม่มีอะไร ผมก็ทานข้าวที่โรงแรมต่อ จนออกมาประมาณ 4 ทุ่มกว่า ๆ พอลงมาก็มีแฟนคลับรอ เราก็โบกมือทักทายขอบคุณปกติ พอเราเลี้ยวรถออกจากโรงแรมก็รู้สึกเหมือนโดนตามอีก ก็เห็นว่าเป็นรถสีเดิม รุ่นเดิม ก็เริ่มตะหงิด ๆ ก็ขับจากสาทรวิ่งมาข้ามตากสิน เพื่อตรงกลับบ้าน ระหว่างทางผมก็พยายามเช็กว่าเขาขับตามเราจริงหรือเปล่า เราก็ขับชิดขวาสุดแล้วก็ลองขับเร็วดู เวลาเราแทรกรูไหนเขาก็ตาม พอมาถึงแถวราชพฤกษ์ ผมก็ลองชิดซ้ายขับช้า ๆ ดู ขับอยู่ 40-60 เขาก็ยังตามอยู่ ไม่ยอมแซง เริ่มรู้สึกว่าต้องเป็นคันเดียวกับวันนั้นแน่เลย

ผมก็ขับมาเรื่อย ๆ พอจะถึงซอยที่มันต้องเลี้ยวเข้าหน้าบ้าน พอดีถนนหน้าบ้านผมกำลังทำถนนอยู่ เลยต้องไปทะลุอีกซอยนึง พอผมเลี้ยวมาเขาก็ยังตามมาอยู่ ทีนี้ผมก็จอดเลย ตอนแรกคิดว่าจะลงไปคุย แต่พอเขาเปิดไฟเลี้ยวหักหัวตามเข้ามาปุ๊บเหมือนเขาไม่ตาม พอเขาเห็นเราจอดเปิดไฟฉุกเฉิน เขาก็กลับหันหัวรถแล้วก็ขับออกไป วันนั้นผมก็คุยกับคุณพ่อว่าช่วง 2-3 วันนี้มีคนขับรถตาม พ่อก็บอกว่าเขาตามจริง ๆ หรือเปล่า รู้สึกไปเองหรือเปล่า ก็ไม่เป็นไร รอดูต่อไป

รอบล่าสุดคือวันที่ผมกลับจากเซ็นทรัลเวิลด์ วันนั้นไปงานรอบสื่อหนัง  One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ เป็นวันพุธที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา พอขับออกมาจากห้างก็รู้สึกว่าโดนตามอีกแล้ว เพราะพอเราเลี้ยวออกจากห้าง ก็มีรถคันนี้ สีเดิม รุ่นเดิม ลักษณะแบบเดิมเลยขับตามมาอีกแล้ว ผมก็เลยรู้สึกว่าใช่แน่เลยรอบนี้ ลองพยายามขับเช็กเหมือนเดิม สมมุติผมต้องเลี้ยวซ้าย ผมก็ขับไปเลนขวาแล้วก็จะมาเลี้ยวใกล้ ๆ หรือจะต้องขึ้นสะพาน ผมก็จะไปขับเข้าใกล้ ๆ แต่เขาก็จะตามเราทุกจังหวะ ขับช้า ขับเร็วก็จะตามเราตลอด ผมก็เลยโทรหาป๊าว่ากำลังโดนตามเลย คันเดิม สีเดิมเลยที่เคยเล่าให้ฟัง ป๊าก็ถามว่าอยากลงไปคุยมั้ย ผมก็บอกว่าได้นะ ป๊าเลยบอกว่าเดี๋ยวป๊าออกไปด้วย เขาไม่อยากให้คุยคนเดียว

แถวบ้านผมจะมีอุโมงค์ที่กลับรถไปฝั่งตรงข้าม มันเป็นถนนเลนเดียว ผมขับเข้าไปแล้วไปจอด จะลงไปคุย ลงไปกับคุณพ่อ แล้วบอกว่า ขอโทษนะครับ ลดกระจกลงมาคุยกันหน่อยได้มั้ย  ก็ไม่ได้ไปเคาะกระจกอะไร ซึ่งเขาก็ตกใจและผมพยายามจะมองหน้า ให้เขาลดกระจกลงมาคุย แล้วเขาก็พยายามจะขับรถแทรกหนีไป พอดีมีรถข้างหลังตามมา แต่ไม่เป็นไร เพราะเรามีเลขทะเบียนรถ สีรถอะไรหมดแล้ว เดี๋ยวไปลงบันทึกประจำวัน ก็เลยขับหลบให้เขาไป และเขาก็ขับพุ่งหายไปเลย คืนนั้นวันพุธที่ 9 ก.พ. เกือบเที่ยงคืน ผมก็ลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.บางพลัด

ซึ่งหลังจากที่ผมลงบันทึกประจำวันไว้ ผมก็โทรฯ หาทางบริษัท นาดาว บางกอก จำกัด  วันรุ่งขึ้นคือวันพฤหัสที่ 10 ก.พ. ทางนาดาวก็ให้ทีมกฎหมายไปดำเนินการ ผมก็เซ็นมอบอำนาจให้ทีมทนายความแจ้งความให้เลยครับ ทางตำรวจก็กำลังสืบเรื่องอยู่ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าใครทำครับ ซึ่งในแง่การติดตามคดี  เราจำรถและสีจำได้ มันเหมือนกันทั้ง 3 ครั้ง ส่วนทะเบียน วันที่ผมลงไปคุยกับทนาย เลขทะเบียนรายละเอียดอะไรพวกนี้ ก็คือทางบริษัทเขาให้ทนายส่งไปให้ตำรวจแล้ว เขาก็ดำเนินการต่อ  เบื้องต้นมันเป็นรถเช่า อาจจะต้องสืบว่าคนเช่าเป็นใครอะไรแบบนี้ครับ โอกาสที่จะเป็นคนต่างชาติ ก็เป็นไปได้หมดครับ”

เมื่อถามว่าหากจับตัวคนทำได้แล้ว เราจะดำเนินการให้ถึงที่สุดหรือถ้าเขามาขอโทษ จะยอมความนั้น บิวกิ้น ตอบว่า “ผมว่าอาจจะต้องสืบก่อนว่าเขามาด้วยเจตนาอะไร ถ้ามาตามเฉย ๆ ก็จะคุยกัน ปรับความเข้าใจกันได้ หรือถ้าเขาประสงค์ไม่ดี มาแอบถ่ายเรา แอบถ่ายครอบครัวเรา เราก็อาจจะมีวิธีจัดการอีกแบบหนึ่ง เพราะการที่เราต้องการจะตามตัวให้เจอ เพื่อที่จะสร้างมาตรฐาน ให้รู้สึกกลัว ไม่ใช่ว่าทำแล้วก็หายไป ไม่มีใครรู้ว่าเป็นใคร แล้วมาทำแบบนี้มันไม่ถูกต้องครับ อยากจะทำให้เป็นบรรทัดฐานมากกว่า  ส่วนตัวผมก็รู้สึกว่าเป็นการคุกคามกัน  มันเป็นการรุกล้ำสิทธิความเป็นส่วนตัวเนอะ ผมว่าการขับรถตามกัน หรือการสตอล์กกิ้ง (Stalking) ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าในระหว่างที่เขาขับรถตามจะมีการถ่ายวิดีโอมั้ย ถ่ายรูปมั้ย หรือว่าถ่ายเข้ามาในบ้านเรารึเปล่า พอเขาตามถึงหน้าบ้าน เขาอาจจะรู้ว่าบ้านเราอยู่ตรงไหน ผมว่ารอบแรกเขาถ่ายเราออกจากบ้านด้วย ผมก็เลยรู้สึกกังวล เพราะที่บ้านมีอาม่า อากง และญาติ ๆ อยู่กันเยอะด้วย”

“สำหรับตอนที่เราลงไปจากรถเพื่อจะไปคุยกับเขา  จริง ๆ ฟิล์มมันมืดมาก เราเห็นลาง ๆ มาก ว่าเป็นผู้หญิง เราเห็นเขาผมยาว ผมสีทอง ใส่หมวกแก๊บแล้วก็ใส่แมส มาด้วยกัน 2 คน เพราะนั่งหน้า ส่วนข้างหลังมองไม่เห็นเลยครับ เพราะฟิล์มมันดำมาก เห็นแค่ข้างหน้ามีคนขับกับคนนั่งข้าง ๆ ถามว่าทำไมเราตัดสินใจที่จะลงไปถาม ไม่กลัวเหรอ จริง ๆ ก็มีโทรฯ ถามคุณพ่อว่าจะเอายังไงดี อยากลงไปคุย คุณพ่อบอกว่าถ้าจะลงไปเคลียร์ เดี๋ยวเขาจะไปด้วย ซึ่งพ่อก็ขับมาหา เพราะเป็นบริเวณแถวบ้าน แล้วเราก็คิดว่าถ้าไม่ลงไปคุย ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ประชันหน้าอีกตอนไหน แล้วเรามั่นใจด้วยว่าเขาตามมาแน่ ๆ ” บิวกิ้น เผย

เมื่อถามว่า มันมีเหตุการณ์ที่เราขับหนีและหักหลบเขา มันมีจังหวะอันตรายมั้ย? บิวกิ้น ตอบว่า “จริง ๆ ไม่เชิงขับหนี แต่ขับเช็กมากกว่าว่าเขาตามจริงรึเปล่า อย่างช่วงที่ผมขับหนี ผมก็ไม่ได้ขับหนีตลอด อย่างตอนเป็นทางยาว เราก็ลองดูว่าเขาจะตามมามั้ย ซึ่งเขาก็ตามมา ช่วงที่เราชะลอก็ขับ 40-60 แบบทั่วไป เพื่อจะเช็กว่าลักษณะการขับของเขานั้นขับแบบนี้อยู่แล้วหรือตามเรา ซึ่งเราก็จะเปลี่ยนวิธีขับหลายแบบเพื่อเช็กว่าเขาขับตามเรามั้ยมากกว่าครับ.

ถามว่าเป็นไปได้มั้ยว่า เขาอาจจะเป็นแฟนคลับที่คลั่งรักเรามาก บิวกิ้นได้สอบถามแฟนคลับมั้ยนั้น  นักแสดงหนุ่มกล่าวตอบว่า “จริง ๆ ไม่ทราบเลยครับว่าเขาเป็นแฟนคลับรึเปล่า หรือไม่รู้ว่าเขามีเจตนาอะไร เขาคือใคร แล้วก็ไม่ได้ถามแฟนคลับด้วยครับ”

ส่วนตอนที่เริ่มเช็กมีคนตามเรา สิ่งที่กลัวอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุรึเปล่า หรือกลัวเรื่องความปลอดภัยของคนใกล้ชิดนั้น บิวกิ้น บอกว่า  “มันเป็นบริเวณใกล้บ้านอย่างที่บอก คือบ้านผมคนอยู่เยอะแล้วก็อีกซอยจะเป็นญาติ ๆ อยู่ รวมถึงตัวเราเองด้วย พอเขาตามมาถึงที่บ้านเราก็รู้สึกว่าการที่เขารู้ว่าบ้านเราอยู่ไหนแล้วเขากล้าที่จะมาบริเวณใกล้บ้านเราโดยหลายครั้ง ผมว่าเรารู้สึกไม่ปลอดภัย แล้วก็รู้สึกว่าเราโดนคุกคามความเป็นส่วนตัวอะไรแบบนี้มากกว่าครับ ส่วนมีวิธีอะไรที่ดูแลตัวเอง รวมทั้งกระทบกับการใช้ชีวิตของเรามั้ย  คือผมก็คงไม่ได้ย้ายบ้านครับ (หัวเราะ) ก็อยู่บ้านเดิม ก็คุยกับพี่ ๆ ก็จะมีการติดกล้องเพราะตอนนี้ไม่มีกล้องด้วย ไม่ได้เห็นว่าเขาตามยังไง ไม่มีกล้องที่เป็นหลักฐาน ก็จะมีกล้องที่เห็นแค่ในเห็นในบ้าน”

ถามว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ครั้งแรกเลยรึเปล่า  บิวกิ้น บอกว่า “ก็เคยมีครับ เราไปงานก็เหมือนมีคนขับรถตาม แต่ก็ไม่ได้ตามมาตลอดทางถึงที่บ้านหรือตามเป็นประจำ ลักษณะคันเดิม เหมือนเดิม ก็จะมีตอนเราไปงานก็ขับตาม พอเจอทางแยกก็บ๊ายบาย แยกทางกัน แต่การตามแบบสตอล์กเกอร์แบบนี้ไม่เคยเจอเลย หรือเราอาจจะไม่รู้ก็เป็นไปได้ ส่วนความกังวลของเรา จะส่งผลกับการทำงานของเรารึเปล่า  จริง ๆ ผมว่าไม่ได้ขนาดนั้นเลย เพราะผมคิดว่าสำหรับเคสนี้ ทางบริษัทก็ช่วยดำเนินการอย่างเต็มที่อยู่แล้ว เราเจอตัวเราก็อาจจะต้องพูดคุยกันมันอะไรยังไง แต่ว่าเขาอาจจะไม่ได้มีความประสงค์ไม่ดีหรืออะไรแบบนี้ก็ได้ โดยส่วนตัวผมไม่ได้กระทบอะไรขนาดนั้นกับที่ผ่านมาผมก็ขับรถปกติ คนเดียว ไปไหนมาไหนคนเดียว เป็นปกติ”

แบบนี้ต้องหาคนมาดูแลรึเปล่า บิวกิ้น ยิ้มก่อนตอบว่า “ผมชอบขับรถคนเดียวครับ  ถามว่าเจอสถานการณ์แบบนี้ยังรู้สึกว่าไปไหนมาไหนคนเดียวมันยังปลอดภัยอยู่มั้ย  จริง ๆ ก็มีกังวลนิดนึง แต่ว่าเราก็รู้สึกว่าไม่น่าจะขนาดนั้น คือชีวิตผมเวลาเราไปไหนทุกคนก็จะรู้ว่าเราไปไหน สมมุติว่ามีนัดงานตอนเช้าพี่ผู้จัดการหรือพี่ที่บริษัทก็จะรู้ว่าเราไปไหน ถ้าเราไปไม่ถึง ผมคิดว่าก็น่าจะรู้ แล้วก็มาช่วยผมได้ทันการอะไรแบบนี้ หรือกลับบ้านป๊าผมก็จะคอยโทรฯ ตามอยู่แล้ว ทำไมยังไม่กลับบ้าน มีคนดูชีวิตเราอยู่แล้วว่ามันมีอะไรแปลก ๆ ไหม ก็มีทุกคนมาช่วยอยู่แล้ว”

ถามว่าพอมีข่าวออกไปแล้ว ถ้าเป็นคนที่ติดตามเราเขาก็น่าจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น  บิวกิ้น บอกว่า “จริง ๆ ก็มีแฟนคลับทักเข้ามาให้กำลังใจเยอะ ทางดีเอ็ม หรือทางโอเพนแชท แล้วก็คนอื่น พี่ ๆ ในวงการ คนรอบตัว พี่ ๆ ในบริษัทเข้ามาให้กำลังใจเยอะครับ แต่ไม่มีคนที่แสดงเจตนารมณ์ขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น หรือยังไม่เห็น แต่ก็ดูอยู่เรื่อย ๆ สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่บ้านก็ค่อนข้างเป็นห่วง เขาก็ถามเรา แต่หลัก ๆ เขาจะเป็นห่วงในเรื่องของคดีความมากกว่าว่าจะยังไงต่อ ตอนนี้เรื่องเป็นยังไงแล้ว จะเอาเรื่องเขาไหม อย่าไปเอาเรื่องเขาเลย ก็เถียงกันในบ้านตามสไตล์คนจีน (ยิ้ม) ซึ่งเราเป็นห่วงความปลอดภัย และเรื่องสิทธิบุคคลของคนในบ้าน  เรารู้สึกว่าพอเราเป็นบุคคลสาธารณะแบบนี้ คนในครอบครัวเราก็จะเหมือนได้รับผลกระทบไปด้วย เวลาเราไปไหนมาไหน โดยเฉพาะเวลามีคนตามเราถึงบ้าน เราก็ไม่อยากทำให้คนอื่นหรือคนในครอบครัวเดือดร้อนหรือโดนแบบนี้ไปด้วย แต่ถามว่าคนที่บ้านกลัวมั้ยพอมีเหตุการณ์นี้ขึ้น คือพอวันนั้นมีข่าว ตอนเย็นอาม่าก็ไปวิ่งในหมู่บ้านปกติเลยครับ (ยิ้ม)”

ส่วนอยากบอกอะไรกับคนที่ทำแบบนี้ หรือคิดเริ่มทำแบบนี้บ้างมั้ยนั้น ศิลปินหนุ่ม ตอบว่า “จริง ๆ ถึงเราเป็นบุคคลสาธารณะ ผมรู้สึกว่าเราก็เป็นคนเหมือนกัน อยากให้ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา สมมุติเราโดนคนรุกล้ำความเป็นส่วนตัว มันอาจไม่โอเคสำหรับทุกคน ถ้าเขาเป็นคนที่ชื่นชอบเรา เราก็ขอบคุณมาก ๆ ที่ติดตาม แต่เราไปเจอกันได้ตามงานที่บริษัทจัดการไว้ให้ งานที่เราไปไหนมาไหน เป็นงานสื่อ แต่ว่าในสิทธิส่วนตัว หรือการตามในทุกรายละเอียด ที่จริง ๆ แล้วทุกคนอาจไม่ได้อยากให้ใครมาตาม หรือไม่อนุญาตให้ใครมาขับตาม ผมคิดว่าก็ขอเหลือพื้นที่ให้ทุกคนได้มีเวลาส่วนตัวของตัวเองบ้าง และสำหรับแฟนคลับที่เป็นห่วง จริง ๆ อยากขอบคุณมากกว่าที่เป็นห่วงกัน เขารักและเป็นห่วงเรา เราไม่รู้ว่าคนที่ตามเป็นใคร แต่ถ้าถามแฟนคลับผมก็น่ารักทุกคนเป็นส่วนใหญ่ เขาดูแลเราอยู่แล้ว ไม่ว่าเราจะเจอเรื่องที่ไม่ดี เขาก็จะคอยช่วยเรา เป็นห่วงเรา  หรือเจอเรื่องดี ๆ เขาก็จะซัพพอร์ตเรา แฟนคลับเขาพิเศษสำหรับผมอยู่แล้วในทุกช่วง ไม่ใช่แค่ช่วงที่เรามีปัญหา”

เมื่อถามต่อว่าได้คุย “พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร” คู่จิ้นสุดซี้หรือยัง และพีพีให้กำลังใจอะไรเราบ้าง บิวกิ้น ตอบว่า “ยังไม่ได้คุยเลยครับ แต่เขาก็เป็นห่วงอยู่แล้วครับ เขาคงคิดว่าเรากำลังยุ่ง ๆ อยู่ด้วย เพราะเขาก็ทราบเรื่องอยู่แล้ว ก่อนมีประกาศออกไป แต่ถ้ามาถามแบบอินดีเทล เขาก็ยังไม่ถาม เขาคงคิดว่าผมกำลังยุ่ง ๆ อยู่ ทั้งเรื่องจัดการคดีความ และเรื่องมีคนเข้ามาถามเยอะ เขาก็ใกล้ตัว อย่างวันนี้ก็เจอกัน ก็คุยกันตลอดอยู่แล้ว ส่วนเป็นห่วงมั้ยว่าวันนึง พีพีจะเจอแบบเรานั้น ผมว่าเขาขับตามพีพีไม่ทันหรอกครับ (หัวเราะ) อันนี้แซว  ผมว่าถ้ามีคนตามพีพีเขาก็น่าจะรู้นะ เพราะเขาเป็นคนช่างสังเกตอยู่แล้วว่ามันมีอะไรผิดวิสัยไป แถวบ้านหรือรอบตัวเขา เขาก็น่าจะรู้ เขาอาจรู้ก่อนผมอีกนะ จริง ๆ ผมอาจโดนตามมานานแล้วก็ได้ แต่เราเพิ่งมีเซ้นส์ขึ้นมา”