เมื่อเวลา 22.48 น. วันที่ 18 ก.พ. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณ “ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี” วันที่สอง โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานการประชุม

นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายสรุปภาพรวมการอภิปรายตลอดทั้ง 2 วันที่ผ่านมา ว่า การอภิปรายครั้งนี้ข้อหาเยอะ ทำให้มีเนื้อหากระจัดกระจาย เพราะเราต้องการบอกปัญหา แต่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา ในส่วนของตนเป็นผู้มาบอกข้อเสนอแนะ การอภิปรายตามมาตรา 152 ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 และที่ผ่านมามีการอภิปรายไม่ไว้วางใจมา 2 ครั้งแล้ว เราบอกปัญหาและส่งสัญญาณเตือนภัยมาเป็นลำดับตั้งแต่ปี 62 โดยเฉพาะเรื่องจีดีพี และหนี้สาธารณะ ตอนนี้แพงทั้งแผ่นดิน จนทั้งแผ่นดิน และพังทั้งแผ่นดิน อาหารการกินทั้งหมดจากการสำรวจขึ้นราคาถึง 30-35 เปอร์เซ็นต์ การเดินทางค่าใช้จ่ายขึ้น 30-40 เปอร์เซ็นต์ 

ส่วนรายได้นั้นตกลง เกิดภาวะของแพงและไม่มีเงินใช้ รวมถึงค่าไฟฟ้า สินค้าสุขภาพ แม้กระทั่งหน้ากากอนามัยและเอทีเค (ATK) ปัญหาการตกงาน ระวังโรคโรคต้มยำกุ้งจะกลับมา เพราะหนี้ทุกตัวขึ้นสูง ส่วนที่นายกรัฐมนตรีบอกว่าภาวะแบบนี้เป็นทั่วโลก ตนก็ยอมรับว่าจริง แต่แม้โควิดออกไปไทยก็ไม่ฟื้น เพราะปัจจัยพื้นฐานของเราล้มก่อนโควิด-19 เปรียบเสมือนเรามองปัญหาผิด วินิจฉัยโรคผิด จ่ายยาผิด คนไข้ตาย เราโดนหนักกว่าทั่วโลก เขาแค่เซ แต่เราหัวคะมำ ส่วนที่บอกว่าเราเงินเฟ้อ เป็นสิ่งที่ตนกลัวมากที่สุด เพราะเราวินิจฉัยโรคผิด วันนี้ภาวะจริงๆ คือเงินฝืด ชาวบ้านไม่มีเงิน เพราะเรายังไม่ฟื้น วันนี้ราคาสินค้าสูงขึ้น เพราะเขาดันต้นทุน แต่รายได้ต่ำ เงินไม่มี สินค้าแพงเพราะต้นทุนคือน้ำมันสูง น้ำมันแพงทำให้สินค้าแพงตามเรื่องนี้ตนไม่เถียง แต่ของเราน้ำมันแพง 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ส่วนอื่นราคาขึ้นแพงกว่า เพราะมันมีคนฉวยโอกาส เรามีนักการเมือง 2 ประเภท คือ คนโง่ ที่รู้ไม่ทันพ่อค้า กับคนโกง ที่รู้ทันพ่อค้าแต่ร่วมกันทำขึ้นราคาแล้วแบ่งกัน ระวังเราจะลุกไม่ทัน

นายสุทิน อภิปรายต่อว่า ส่วนปัญหาสังคมที่ยาเสพติดระบาดจนอาชญากรรมเกิดขึ้นมากตาม โดยเฉพาะอาชญากรรมไซเบอร์จากเทคโนโลยี แต่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) มาตามจับการเมืองมากกว่า ส่วนภัยจากการเมืองที่บอกว่าจะปฏิรูปการเมือง วันนี้อ่อนแอที่สุดและใช้เงินมาก เลือกตั้งท้องถิ่นเห็นแล้วเศร้า วันนี้ดึงกลับไปสู่ประชาธิปไตยแบบใช้เงินเป็นใหญ่ และที่ทำนั้น กรรมเลยมาตกที่ท่าน เพราะท่านเคยบอกว่าการเมืองยุ่งเหยิง แตกแยกไม่มีเสถียรภาพส่งผลให้ท่านเองทำงานไม่ได้ เพราะรัฐบาลอ่อนแอแก้ปัญหาไม่ได้ ระบบราชการก็เดี้ยง มาโผล่ที่สภาฯ ด่ากันให้ร่ำ นับองค์ประชุมไม่พอ รัฐบาลแย่ พวกสันหลังยาว ชาวบ้านปวดใจ เรื่องนับองค์ประชุมเป็นระบอบวัฒนธรรมของระบอบรัฐสภา มีทั่วโลก เมื่อฝ่ายค้านมีน้อยกว่าทำอะไรไม่ได้ก็ใช้วิธีนับองค์ประชุม ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหา เหมือนแต่หยอกกันเล่น แต่วันนี้นับเมื่อไหร่ก็ล่มทุกที เพราะพวกท่านบริหารไม่ได้ ไม่มาประชุมกันเอง หนีกันไป 20 กว่าคน และก็ฝังตัวรอเล่นกันอีกเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่านัยแล้วล่มมาด่าพวกตน นี่เรียกว่า “กรรม”

นายสุทิน อภิปรายอีกว่า สำหรับเรื่องเหมืองทองอัคราเราเป็นห่วงว่าเมื่อไหร่จะจบและจบแบบใด สุดท้ายมาได้ข่าวว่าเขาได้สัมปทานเพิ่ม ความเป็น ส.ส.ก็ห่วงจึงเอามาถาม เมื่อถามแล้วก็ลุกเป็นฟื้นเป็นไฟ แต่ฟังไปฟังมาก็มีพิรุธ และบริษัท คิงส์เกต ไปบอกผู้ถือหุ้นว่าเราจะได้สัมปทานเพิ่มแล้วนะ จากการตรวจสอบก็พบพิรุธ เราไม่ได้บอกว่าท่านปิดผิด เพราะชาวบ้านก็เดือดร้อน แต่ผิดที่ไปใช้ มาตรา 44 เท่านั้น ควรใช้วิธีที่ฉลาดและกฎหมายที่โลกไม่ยอมรับ เราพลาดตรงไม่เอาเรื่องสิ่งแวดล้อมไปบอกเขา ถ้าแพ้นายกรัฐมนตรีก็จ่าย จะเอาเงินแผ่นดินไปจ่ายไม่ได้ เราเสียค่าปรับยังเสียหายน้อยกว่าเอาสัมปทานใหม่ให้เขาเพิ่ม ส่วนเรื่องหมูแพงสะเทือนใจมาก พอหมูตายมากทำให้ราคาแพงขึ้น และคนเลี้ยงหมูรายย่อยจะสูญพันธุ์ ทำไมรัฐปกปิดข้อมูลตั้งแต่กรมปศุสัตว์ หรือเพราะต้องการให้ทุนใหญ่ได้ประโยชน์ ตนแนะนำ ส.ส.ที่อภิปรายเรื่องนี้ยื่นฟ้องกรมปศุสัตว์ที่มีการเบิกเงินไปตั้งแต่ปี 62-63 แต่ยังกลับบอกว่าไม่รู้ว่ามีโรค ถามว่าแล้วตอนนั้นเบิกเงินไปทำไม ที่รัฐมนตรีบอกว่าที่หมูแพง เพราะกลไกการตลาดบิดเบือน อยากรู้จังว่าใครเป็นคนปั่นราคาตลาดหมู วันนี้วัวหายมาล้อมคอกยังบอกว่าเป็นผลงาน แทนที่จะทำงานเชิงรุก ที่หมูราคาลงตอนนี้เพราะไปเจอที่กักตุนไว้ในห้องเย็น ซึ่งเป็นผลงานของคนทางไกลที่บอกว่าให้ไปดูและก็เจอจริงๆ ถ้าเก่งจริงท่านต้องอย่าให้มีการกักตุนตั้งแต่ทีแรก และได้ข่าวว่าแอบเอาหมูต่างประเทศเข้ามา

นายสุทิน อภิปรายว่า หากเจอปัญหา อยากให้นายกรัฐมนตรี ยอมรับความจริงและฟังคนอื่นมากขึ้น ขอให้เปิดใจ แต่ท่านมักปฏิเสธและไม่ฟังคนอื่นด้วย แต่ฟังคนเขียนสคริปท์ให้ ดังนั้นขออนุญาตให้มีที่นั่งคนเขียนสคริปต์ 1 ที่นั่งบนบังลังก์ ขณะที่เรื่องวาดา เป็นความปิติที่น่าสังเวช ที่นักกีฬาชนะกลับไม่ได้ร้องเพลงชาติ และอยากให้ทบทวนการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ เน้นแต่แจก แต่ตนขอบอกว่าขอให้แจกต่อไปเถอะ แต่ต่างประเทศเขาแจกให้ลงทุน ไม่ได้แจกให้กินอย่างเดียว แต่ต้องกระตุ้นการสร้างงาน พวกตนไม่ยกเลิกแต่จะแจกเพื่อให้ทำงานและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แนะนำให้มีโช้คอัพหรือกันชนทางเศรษฐกิจบ้าง เพื่อไม่ให้กระแทกชาวบ้านโดยตรง ควรสร้างภูมิคุ้มกัน แต่นี่ไม่มีเลย นายกรัฐมนตรีประกาศเท่ห์ว่าปี 65 จะเป็นปีแห่งการแก้หนี้ครัวเรือน แต่หลักการแก้หนี้คือต้องเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย หากตราบใดไม่ทำสองอย่างนี้ก็แก้ไม่ได้ นอกจากย้ายหนี้ ทุกอย่างสวนทางกับที่นายกรัฐมนตรีบอก ชาวบ้านอาจจะดีใจ แต่ถ้าตราบใดรายรับน้อยลงเรื่อยๆ และรายจ่ายสูงขึ้นเรื่อยๆ หนี้จะบาน ซึ่งเรื่องคริปโตฯ ทั่วโลกทำเงินกัน แต่รัฐบาลไม่ส่งเสริมแล้วยังจ้องเก็บภาษีหารายได้ รวมถึงภาษีโรงเรือน

ดังนั้นท่านต้องหารายได้เพิ่ม ไม่ใช่มาเก็บภาษีชาวบ้าน รวมทั้งขอแนะนำว่าให้ใช้งบประมาณให้เป็นประโยชน์ งบกลางซื้ออาวุธซื้อเรือดำน้ำขอให้เลิก โดยสถาบันจัดลำดับนานาชาติ หรือทีไอ บอกว่าการทุจริตมากขึ้นเรื่อยๆ และต้องปฏิรูปการเมือง ระบบราชการ ไม่เช่นนั้น นำประเทศผ่าวิกฤติไม่ได้ เลือกตั้งกลับมาคราวหน้าสภาฯหนักกว่าแบบนี้เอง ประเทศเดี้ยง และสิ่งที่จะขอคือขอให้ท่านทบทวนตัวเอง จะเอาชนะกับใครก็ตาม โดยเอาคน 65 ล้านชีวิตเป็นตัวประกัน  ใจคอจะไม่ยอมปลดปล่อยชาวบ้านออกจากอุ้มมือเลยหรือ ต้องยอมเสียสละยุบสภาฯ วันนี้คุณภาพเด็กไทยตกต่ำลงทุกด้าน ถ้าท่านไม่ออกคนจนวันนี้จะพุ่งขึ้นมา และเป็นคนจนเฉียบพลัน พัฒนาเป็นจนเรื้อรัง เพราะความเหลื่อมล้ำที่ปกคลุมมา 2 ปี ทุนใหญ่ไม่กี่ตระกูลไปยึดอาชีพเขาหมดแล้ว จนกลายเป็นจนถาวร

“ไม่ใช่อยู่ๆ เรามาบอกให้นายกฯ ออก แต่เราเสนอแนะทุกข้อแล้ว นายกฯ ออกมาบอกหน่อยจะรับหรือไม่ ถ้าอุดรอยรั่วไม่ได้ก็เปลี่ยนเรือเลย หน้าที่ไล่นายกฯ เป็นหน้าที่ของพวกผม ไล่ในสภาฯ ดีกว่าไปไล่ที่อื่น พวกผมใช้มาตรา 152 พูดจาด้วยเหตุผล สภาฯ คือเงาสะท้อนของประชาชน เมื่อประชาชนร้อนที่นี่ก็ต้องเดือด ประชาชนร้องไห้ที่นี่จะมาจ๊ะจ๋าได้อย่างไร นี่คือความงามของสภาฯ ท่านต้องเข้าใจว่าผู้แทนได้รับแรงกดดันมา ถ้าผมพูดเท็จชาวบ้านก็จะว่าตอแหล ไปไหนเขาก็บอกว่าให้เอานายกฯออกให้หน่อย เราจะไปพร้อมกันก็ได้ ยุบสภาฯ เลย ไม่ใช่ไล่ท่านอย่างเดียว กฎหมายลูกทำทันแน่นอน เราไปพร้อมกัน จะได้เป็นธรรม” นายสุทิน กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงดึกหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ชี้แจงเป็นคนสุดท้ายของคณะรัฐมนตรี และนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปรายสรุปภาพรวมทั้งหมดแล้ว ก็ยังมี ส.ส.พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ที่เหลืออีก 7 คน ได้อภิปรายต่อ โดยส่วนใหญ่ยังคงท้วงติงการทำงานของรัฐบาลที่บริหารงานผิดพลาดตลอดช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา จนก่อให้เกิดปัญหาด้านความเหลื่อมล้ำ สินค้าแพง รวยกระจุกจนกระจาย

จนกระทั่งเวลา 01.35 น. นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ที่หน้าที่ประธานในที่ประชุมได้กล่าวขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ รวมถึงรัฐมนตรีทุกคนที่มาร่วมรับฟังและขอบคุณสมาชิกทุกคนที่อภิปรายด้วยความเรียบร้อยตลอดทั้งสองวัน จากนั้นได้สั่งปิดการประชุมในเวลา 01.35 น. รวมเวลาการอภิปรายตลอดสองวันใช้เวลาไปทั้งสิ้น 31 ชั่วโมง