เมื่อวันที่ 22 ก.พ. ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เกี่ยวกับเรื่องราวของ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 หัวหน้าชุดสืบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ที่ต้องลี้ภัยออกจากประเทศไทยไปเมื่อปี 58 จะต่อยอดเรื่องนี้อย่างไรนั้นว่า ตนอภิปรายเรื่องนี้เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา ขณะนี้ผ่านมาสามวันเต็มๆ แล้ว คิดว่าคงไม่ได้รับคำอธิบายที่น่าพอใจ เพราะคำอธิบายของรัฐบาลไม่ต่างจาก 6 ปีที่แล้ว ที่บอกว่าให้กลับมาสิ รัฐบาลควรมีสัญญาณที่ดีกว่านั้น เช่น ควรจะกลับไปพิจารณาว่าในวันนั้นว่าใครมีบทบาทหน้าที่ในการปราบปรามการค้ามนุษย์และขัดขวาง พล.ต.ต.ปวีณ ตนอาจจะให้ตัวย่อในสภาฯ เพราะมีข้อจำกัดเรื่องกฎหมาย หากรัฐบาลอยากทราบว่าเป็นใครบ้าง ตนก็พร้อมจะให้ข้อมูล

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า กรณีการปราบปรามการค้ามนุษย์คิดว่ารัฐบาลไม่ได้ต่อยอดหรือขยายผล อีกทั้งกองทัพเรือต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากไม่ได้จับคนที่เกี่ยวข้องได้แค่คนเดียว หรือกรณีฝ่ายปกครองต่างๆ ที่อยู่ในอำนาจของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย (มท.1) เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะขนคนจากจังหวัดหนึ่งไปจังหวัดหนึ่ง ดังนั้นเรื่องเหล่านี้ต้องมีคนรับผิดชอบ หากรัฐบาลต้องการปราบปรามการค้ามนุษย์จริงๆ ก็จะต้องดำเนินการตั้งคณะกรรมการเป็นคนที่สังคมเชื่อถือ เพื่อแก้ปัญหาสิ่งที่ตนอภิปรายไป แต่ตอนนี้กลายเป็นรัฐบาลยืนกระต่ายขาเดียวว่าตัวเองปราบปรามการค้ามนุษย์ ที่บอกว่าก็กลับมาสิ คำถามคือใครจะกล้ากลับ เราเห็นการอุ้มหาย การเสียชีวิตของข้าราชการน้ำดี หรือคนที่พยายามดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้วยดี แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้รับความปลอดภัยอยู่ดี

นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า ส่วนจะดำเนินการอย่างไรต่อนั้นมีหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ซึ่งตนก็อยู่ในกมธ.กฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร หากเราสามารถใช้ช่องทางนี้สืบหาข้อมูล ก็คงจะเป็นการทำคู่ขนาน แต่ต้องยอมรับว่าช่องทางนี้ไม่เพียงพอที่จะทำให้เราอยู่ในบรรยากาศที่ปลอดภัย ที่ พล.ต.ต.ปวีณ จะสามารถกลับมาพบครอบครัวของเขาได้ เราคงต้องทำมากกว่านั้น บางทีการจะเริ่มต้นสู่กระบวนการที่ปลอดภัยมากที่สุดอาจจะต้องมีการเลือกตั้ง มีรัฐบาลใหม่ ซึ่งตนเชื่อว่าทั้ง 3 ป. มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่งกับกระบวนการค้ามนุษย์ เราจะได้รับความเชื่อมั่นจากสังคมโลกได้อย่างไร หาก พล.ต.ต.ปวีณ ซึ่งเป็นมือปราบการค้ามนุษย์อันดับหนึ่ง ยังลี้ภัยอยู่ต่างประเทศและหวาดกลัว

เมื่อถามว่า อะไรทำให้มั่นใจว่า 3 ป.เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ข้อแรกไม่มีเหตุผลที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ จะย้าย พล.ต.ต.ปวีณ ถ้าจะอ้างว่า พล.ต.ต.ปวีณ ทำงานกับผู้บังคับบัญชาไม่ได้ เราก็รู้กันอยู่ว่าตำรวจไม่เป็นเนื้อเดียวกัน แต่ก็สามารถได้ดิบได้ดี ข้ามหัวคนนั้นคนนี้ เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในวงการตำรวจ การย้าย พล.ต.ต.ปวีณไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเรื่องที่อันตรายจริงๆ คล้ายกับตำรวจคนอื่นที่ไปเสียชีวิตที่นั่น ข้อสองสำหรับ พล.อ.อนุพงษ์ ตนมีแหล่งข่าวที่ยืนยันว่า พล.อ.อนุพงษ์ มีความรู้มากในเรื่องกระบวนการค้ามนุษย์ที่ จ.ระนอง แน่นอน อาจจะเพราะ พล.อ.อนุพงษ์ เป็นรัฐมนตรีมานาน ฝ่ายปกครองต่างๆ ก็น่าจะมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดี การจะย้ายชาวโรฮีนจาในหลายๆ ครั้ง จาก จ.ระนอง ไปที่ จ.สงขลา ต้องผ่านหลายจังหวัด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับความร่วมมือจากฝั่งตำรวจฝั่งเดียวแล้วจบ แต่จะต้องได้รับความร่วมมือจากหลายอย่าง ดังนั้นใครมีส่วนสำคัญที่ทำให้กลไกของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นทหารเรือ ฝ่ายปกครองและตำรวจ ให้เป็นกลไกที่ไม่มีประสิทธิภาพจนเกิดกระบวนการค้ามนุษย์ได้ คนๆ นั้นต้องใหญ่จริงๆ เชื่อว่า พล.อ.อนุพงษ์ มีคำตอบเรื่องนี้แล้ว ดูจากสีหน้าท่านแล้วก็ดูเหมือนจะอธิบายหลายๆ อย่างได้ ข้อสามสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม เป็นคนที่รู้ทุกอย่างอยู่แล้ว เพราะเป็นนายกฯ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับคำขอจาก พล.ต.ต.ปวีณ ให้ทบทวนคำสั่ง แต่ก็ไม่ทบทวน อีกทั้งยังยืนยันในสิ่งที่ พล.อ.ประวิตร ได้ทำร่วมกับ ก.ตร.ในขณะนั้น การที่ไม่ทบทวนทั้งที่เป็นนายกฯ ชัดเจนแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ เกี่ยวข้องกับการทำให้ปัญหาการค้ามนุษย์แย่ลงเรื่อยๆ ทำให้ พล.ต.ต.ปวีณ ต้องลี้ภัย.