นางเบอร์กิท ฮานสล์ ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย (เวิลด์แบงก์) เปิดเผยว่า เวิลด์แบงก์ และบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (ไอเอฟซี) เปิดรายงานการวิเคราะห์ภาคเอกชนของประเทศไทย โดยเห็นว่าไทยต้องเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ และต้องแก้ไขข้อจำกัดด้านการลงทุนต่างๆ เพื่อเกิดการส่งเสริมแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนในอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ จะช่วยดึงเงินการลงทุน ประหยัดค่าใช้จ่าย และสร้างรายได้ให้ประเทศไทยสูงถึง 3,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.1 แสนล้านบาท รวมทั้งเพิ่มโอกาสทางการแข่งขันในด้านต่างๆ

ทั้งนี้ การเร่งการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้จะช่วยเพิ่มกระแสเงินทุนไหลเข้าในไทย 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือเกือบ 6 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนใหม่ในเทคโนโลยีคมนาคมขนส่ง บิ๊กดาต้าและการวิเคราะห์ข้อมูล เทคโนโลยีด้านสุขภาพ สื่อดิจิทัล และด้านบันเทิง รวมทั้งการขยายตัวของภาคส่วนต่าง ๆ ในไทยที่มีศักยภาพอยู่แล้วเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น อีคอมเมิร์ซ เทคโนโลยีด้านการเงิน เป็นต้น

นอกจากนี้ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างทักษะสำหรับอนาคตไปพร้อม ๆ กับลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ก่อให้เกิดตลาด โดยต้องเตรียมพร้อมให้คนรุ่นใหม่เป็นโปรแกรมเมอร์ นักพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล และผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เส้นทางการเติบโตที่ยืดหยุ่น ยั่งยืน และครอบคลุม

ขณะที่การนำระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้สามารถประหยัดต้นทุนและสร้างรายได้สำหรับภาคเอกชนสูงถึง 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะอาหารและการเกษตร การก่อสร้าง และอิเล็กทรอนิกส์ และอาจทำอย่างอื่นเพิ่มเติม เช่น การทำเกษตรกรรมฟื้นฟู การแปรรูปขยะอินทรีย์เป็นผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจหมุนเวียนที่สร้างผลลัพธ์สูง

นางเบอร์กิท กล่าวว่า สิ่งที่ไทยต้องแก้ข้อจำกัดการลงทุน เช่น เรื่องการแข่งขันที่จำกัดและความเหลื่อมล้ำในการแข่งขันต่อการสร้างนวัตกรรมในภาคเอกชน โดยต้องส่งเสริมการลงทุนโดยตรง, เพิ่มทักษะแรงงาน, ส่งเสริมเงินทุนพัฒนานวัตกรรม, ความซับซ้อนของกฎระเบียบ ส่วนในช่วงระยะสั้นและระยะกลาง ไทยต้องส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมเพื่อช่วยยกสถานะให้เป็นประเทศรายได้สูงและสร้างงานที่ดีขึ้นในอนาคต

ขณะเดียวกันต้องยกระดับการบังคับใช้กฎหมายด้านการแข่งขันทางการค้าเพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เท่าเทียม และผ่อนคลายระเบียบเรื่องการจ้างพนักงานต่างชาติ ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ เช่น พิจารณาปรับปรุงข้อกำหนดการได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว, เรื่องทุนขั้นต่ำที่คนต่างด้าวใช้ในการเริ่มต้นประกอบธุรกิจในไทย, พิจารณายกเลิกเงื่อนไขด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ, พัฒนาระบบตรวจสอบทักษะแรงงาน เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมวางหลักสูตร และเพิ่มประสิทธิภาพของศูนย์ประสานงานกลางการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา

นอกจากนี้ควรเพิ่มจำนวนศูนย์พัฒนาเด็กเพื่อเปิดโอกาสให้แรงงานสตรีมีส่วนร่วมมากขึ้น, เสริมความเข้มแข็งของโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินและเพิ่มโอกาสให้เอสเอ็มอีเข้าถึงบริการทางการเงิน โดยต่อยอดการทำธุรกรรมแฟ็กเตอริ่งในรูปแบบดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานและเพิ่มโอกาสให้เอสเอ็มอีมีบทบาทในห่วงโซ่คุณค่า