น่าห่วงอย่างมากสำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในไทยและทั่วโลก ที่มีอัตราคนติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นจนหลายคนตกใจ ซึ่งมีทั้งคนบันเทิงและคนทั่วไปติดเชื้ออย่างมากมาย ท่ามกลางการช่วยเหลือของทีมแพทย์ พยาบาล และจิตอาสาทุกคน ที่พยายามดูและและเข้าถึงคนป่วยให้มากที่สุด

ล่าสุดเจอตัวสาว ได๋ ไดอาน่า พิธีกรคนดัง หนึ่งในผู้เปิดเพจเราต้องรอด ที่ช่วยดูแลและประสานหาเตียงในการรักษาผู้ป่วยโควิด ก็ได้ออกมาอัพเดทสถานการณ์ตอนนี้ พร้อมปัญหาที่เจอมากมาย

ได๋ เผยว่า “ก็ต้องบอกว่าจากสถานการณ์ ณ ตอนนี้ ถ้าดูจากตัวเลข มันมากขึ้นกว่าทุก ๆ วันที่ผ่านมาจริง ๆ ค่ะ คือถ้าเทียบกับระลอกก่อน ตัวเลขที่มากที่สุดคือ วันที่ 13 สิงหาคม ซึ่ง ตัวเลข ณ วันนั้น ยังไม่เยอะเท่ากับตอนนี้เลย ฉะนั้นก็ต้องบอกว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่น่าเป็นห่วงมาก ๆ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง ก็ยังมีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกอุ่นใจได้บ้าง นั่นก็คือจำนวนของผู้ที่ฉีดวัคซีนมีเยอะกว่าระลอกก่อน และอัตราผู้ป่วยที่เป็นผู้ป่วยวิกฤติก็ลดน้อยลงกว่าระลอกก่อนเยอะมาก เห็นตัวเลขแล้วก็ไม่ตกใจค่ะกับยอดที่ขึ้นมาเร็ว คือมันก็เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าพอถึงเวลาที่คนหน้างานอย่างเราจะต้องรับมือกับสถานการณ์จริง ๆ มันก็คอขวดอ่ะ อย่างเช่นเมื่อสักครู่นี้ ตอนที่ขึ้นเวทีเพื่อทำงานพิธีกร หลังบ้านตรงนั้นมันก็มีปัญหาเรื่องการจ่ายฟาวิฯ เพราะว่าก่อนหน้านี้ ทุกเคสเราก็สามารถที่จะขอฟาวิฯ ได้ แต่ว่า ณ ตอนนี้ เนื่องจากปริมาณยาจำกัด ฉะนั้นเราจึงต้องพยายามทำความเข้าใจกับผู้ป่วยว่า หากเป็นผู้ป่วยที่มีอาการไม่ได้มากนัก ก็จะให้ดูแลตัวเองเบื้องต้นไปก่อน เป็นไข้ก็ทานยาแก้ไข เจ็บคอก็ทานยาแก้เจ็บคอ ทานวิตามินซี ทานฟ้าทะลายโจร คือทานเพื่อดูแลตัวเองเบื้องต้นไปก่อนระหว่างรอการประสานงาน”

“เอาจริง ๆ ในบางครั้งการจะประสานงานไปยังหน่วยงานต่าง ๆ เราก็ต้องเข้าใจด้วยว่า ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา มีเคสใหม่ ๆ เกิดขึ้นเยอะมาก และการทำงานมันอาจจะไม่ทันท่วงที ฉะนั้นอย่ารอนะคะ ถ้ามีอาการผิดปกติก็ทานยาดักไว้ก่อนเลย และก็อย่าหลอกตัวเอง ถ้าสมมุติเริ่มมีอาการ อย่าคิดว่าตัวเองไม่เป็น ให้คิดไปเลยค่ะว่าเราติดแล้ว เราเป็นแน่นอน เพื่อที่จะได้ป้องกันตัวเอง จริง ๆ ได๋ต้องบอกว่า ช่วง 7-10 วันที่ผ่านมานี้ ได๋ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อน เพื่อนของเพื่อน น้อง ๆ สื่อ รวมถึงคนในวงการเยอะมาก และความกังวลของเขาคือ เขาอาจจะยังไม่ติดจริงก็ได้ เดี๋ยวขอไปตรวจก่อน ซึ่งระหว่างรอผลมันก็ต้องใช้เวลา 24 ชั่วโมงในการคอนเฟิร์ม ฉะนั้นถ้าเราเริ่มสตาร์ทโดยการกินยาก่อนเลยมันจะดีกว่าไหม คือได๋อยากบอกทุกคนว่า ถ้ามีอาการอย่ารอ กินยาบรรเทาอาการของตัวเองไปก่อน และส่วนมากเราก็จะหายเองได้ภายใน 3-5 วัน แต่ถ้ามีโรคประจำตัวหรือว่าไม่เริ่มทานยา มันก็อาจจะมีโอกาสในการที่มันจะรุนแรงกว่าปกติ”

ได๋ เล่าต่อว่า “ปัญหาตอนนี้ที่เจอน่าจะเป็นปัญหาเรื่องของคอขวดมากกว่า อย่างที่พี่ ๆ น้อง ๆ สื่อมวลชนทุกคนก็รู้ว่าเรายังไม่เคยหยุดทำงานเลย ตั้งแต่วันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ คือระบบทุกอย่างที่เราเซตเอาไว้อยู่แล้ว มันก็คือแค่กลับมารันตามปกติ เพียงแต่ว่าปริมาณที่เราคาดการณ์ไว้พอมันเกิดขึ้นจริง ๆ ปุ๊บ มันมาหนักเลย อย่างเช่นในส่วนของ เราต้องรอด สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการยาเพื่อทำ home isolation บางคนเขาก็กลัว เขาไม่กล้าออกจากบ้าน เขาไม่กล้าออกไปซื้อยา เพราะเขากลัวจะเอาเชื้อไปติดคนอื่น เราก็เลยต้องให้เขาอยู่บ้านและทำการจัดส่งยาให้ ฉะนั้นยาสัญประจำบ้านสำหรับบางคนที่เขาไม่ได้ซื้อติดไว้ ในส่วนนี้เราก็ต้องช่วยซัพพอร์ตเขาด้วยเหมือนกัน แต่เราก็จะมีหน่วยงานของ กทม. ไว้สำหรับติดต่อโดยตรง เพื่อที่จะประสานงานในการนำเอกสารหรือรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อขอในการทำ home isolation ให้กับผู้ป่วย”

“สถานการณ์ที่ศูนย์พักคอย สำหรับเราต้องรอด ตอนนี้มีทั้งหมด 3 ศูนย์ด้วยกันนะคะ คือที่เขตประเวศ ซึ่งตอนนี้ก็เต็ม เขตห้วยขวาง ก็เต็มเหมือนกัน และที่เขตคันนายาว ตอนนี้ก็ล้น อย่างที่ทุกคนสามารถเห็นได้ทางเฟซบุ๊กอยู่แล้ว เพราะเราจะโพสต์ตลอดว่าเต็ม แต่ก็จะมีบางคนเหมือนกันที่เขาไม่เชื่อว่าเต็ม แต่ ณ ตอนนี้ เราได้ทำการเอาเตียงออก และเอาที่นอนปิกนิกมาปูแทน เพื่อที่เราจะได้สามารถบริหารจัดการเคสได้ เนื่องจากก็ต้องเข้าใจว่าบางคนเขาต้องแยกกักตัวจริง ๆ และเขาไม่มีที่ไป ซึ่งเราก็แค่เอาเตียงออกและเอาที่นอนปิกนิกใส่แทน แต่ว่าเมื่อกี้ก่อนเข้างานก็ได้ทำการประชุมหารือกับท่านอธิบดีกรมการแพทย์ว่าเราจะร่วมมือกันยังไง เพราะทั้งทางกรมการแพทย์เอง ทาง กทม. เอง ก็กำลังหารือร่วมกันว่า เราอาจจะต้องมีการเปิดศูนย์พักคอยเพิ่ม และเราจะสื่อสารกันยังไงเพื่อให้ประชาชนไม่อยู่ในความวิตก ฉะนั้นย้ำไว้ก่อนเลยนะคะ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้ามีอาการดูแลตัวเองก่อนอย่าเพิ่งรอใครเลยค่ะ”

“จริง ๆ ตอนนี้อาสาสมัครก็เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะคะ เริ่มเติมกำลังพลของเราให้เข้ามามากขึ้น และก็สแตนด์บายทุกคนเอาไว้ อย่างที่บอกค่ะ เรายังไม่เคยหยุดทำ ฉะนั้นทุกอย่างที่แสตนบายเอาไว้เราก็แค่ปรับโหมดเข้าสู่การทำงาน ก็เหนื่อยหน่อยค่ะ แต่ยังสู้ไหว ได๋ก็ได้นอนไปช่วงก่อนปีใหม่แป๊บหนึ่ง และก็กลับมาช่วงนี้แหละค่ะที่ไม่ค่อยได้นอน แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะเราแค่ต้องปรับระบบหลังบ้านให้มันทำงานดีขึ้น พยายามประสานทุกหน่วยงานให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ทุกอย่างมันสามารถรันได้แบบไม่สะดุด ถ้าเจอเคสที่ศูนย์พักคอยไม่สามารถรับได้ เราก็ต้องรับก่อนค่ะ เนื่องจากเราไม่สามารถปล่อยให้ผู้ป่วยที่อาการหนักและยังไม่สามารถเข้าถึงการรักษาอยู่โดยที่ไม่มีการดูแลค่ะ คือเราก็จะรับเขาเข้ามาก่อน และค่อยว่ากันในวันรุ่งขึ้นว่าพรุ่งนี้เช้าเราจะประสานเขาไปที่ไหน คือเราก็ต้องยอมรับว่า ถึงแม้โอมิครอนจะดูเหมือนไม่รุนแรง แต่ก็มีคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน และมีผู้ป่วยติดเตียงที่อาการรุนแรงอยู่เหมือนกัน กลุ่มนี้ยังคงหาเตียงยาก เตียงเหลือง เตียงแดง ไม่ได้หาง่าย ๆ ฉะนั้นมันก็เป็นเรื่องของการบริหารจัดการและก็การประสานงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้เราสามารถช่วยเหลือทุกคนได้อย่างทันท่วงที”

พิธีกรดัง เล่าต่อว่า “ที่สถานการณ์มีคนนอนข้างถนนอีกแล้ว ก็รู้สึกว่าเขาอยู่ที่ไหน เดี๋ยวไปหา เท่านั้นเองค่ะ ถามว่ามันไม่หนักเท่ากับระลอกก่อน ที่มันดึงความรู้สึกเราให้ดิ่งลงไปมาก เนื่องจากว่าระลอกก่อนหน้านี้ เราเจอคนเสียชีวิตทุกวันเยอะมาก ๆ ตอนนี้มันเป็นแค่โอเค ไหนเคสอยู่ที่ไหนคะ นอนอยู่ข้างถนนใช่ไหม ศูนย์เราถึงเราจะเต็มแค่ไหน แต่พื้นก็ยังว่าง เพราะฉะนั้นแทนที่เขาจะไปนอนพื้นถนน มานอนพื้นเราก็ได้ เรามีข้าวมีน้ำให้ มีแอร์ มีที่นอนให้ค่ะ ให้เขานอนพักผ่อนให้สบาย แล้วพรุ่งนี้ค่อยประสานได้ เพราะฉะนั้นคือถามว่ามันบริหารจัดการได้ไหม มันไม่ได้แย่เหมือนก่อน เหมือนกับว่าเราซ้อมกันมาเยอะแล้วค่ะ ขออนุญาตพูดสองแบบแล้วกันนะคะ อย่างแรกเลยก็คือว่า จำได้ไหม ณ วันที่ผู้ติดเชื้อในประเทศไทยเป็นหลักหน่วย ตอนนี้ทุกคนกลัวกันมาก ไม่กล้าออกไปไหนเลย แต่วันนี้เดินไปในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ร้านอาหารต่าง ๆ คนอยู่กันเยอะแยะมากมาย โดยที่ลืมไปแล้ว แล้วก็อาจจะไม่สนใจแล้ว ไม่เป็นไรหรอกติดโควิด คนนั้นคนนี้ก็ติด ถามดีกว่าว่าใครยังไม่ติดบ้าง บางคนติดจนหายแล้วก็ยังไม่รู้ตัว ต้องบอกแบบนี้ว่า บางคนตรวจ ATK ไม่ขึ้น RT-PCR ไม่ขึ้น แล้วก็เลยรู้สึกนอยด์ เลยไปตรวจภูมิ ปรากฏว่าภูมิขึ้น คุณหมอบอกว่าเนี่ย คุณติดโควิดเพิ่งหาย แบบนี้มีเยอะ เพราะฉะนั้นก็สบายใจได้”

“อยากให้ทุกคนนำ mindsets เดิมกลับมา ว่าเราเคยกลัวและหวาดระแวงกันยังไง หลายคนอาจจะบอกว่าเว่อร์หรือเปล่า สร้างความวิตกหรือเปล่า คือคนที่แข็งแรงไม่เป็นไรไงคะ ร่างกายเราสามารถขจัดเชื้อออกไปได้ แต่เราอย่าลืม ว่าเรามีคนที่บ้าน มีคนแก่ที่บ้านที่เราต้องดูแลหรือเปล่า พ่อแม่เขาแข็งแรงหรือเปล่า เด็กเล็กเบบี๋ เด็กเดือน เขาไม่สามารถที่จะพูดได้ เขายังไม่ได้รับวัคซีน กลุ่มเปราะบางต่าง ๆ ก็ยังต้องให้เราดูแลอยู่ เพราะฉะนั้นให้ทุกคนดูแลตัวเองให้ดีที่สุด นี่คือข้อที่หนึ่ง ส่วนข้อที่สอง เนี่ยจากว่าตอนนี้ สถานการณ์ของตัวเลข มันเพิ่มขึ้นเยอะมาก ๆ ทุกวัน ลองคิดดูนะคะ ว่า 2 หมื่น ๆ ติดกัน 3-4 วัน เคสที่ตกค้างอยู่ในระบบมันจะเยอะขนาดไหน บางทีถ้าเราจะรอประสานงานอย่างเดียว มันอาจจะไม่ทันใจเรา เพราะฉะนั้นพูดและย้ำครั้งหนึ่ง หากคุณไม่ได้มีอาการเยอะมาก ดูแลตัวเองไปก่อน ในระหว่างนั้นก็ประสานไปด้วย อย่ารอเด็ดขาดนะคะ ไม่ใช่ว่าแบบเจ็บคอ ปวดหัว ไม่เป็นไร ฉันรอประสานก่อน เป็นอะไรทานยาตามอาการไปก่อนเลย เพื่อที่ว่าเราจะได้เซฟที่ Hospitel หรือว่าโรงพยาบาล ให้สำหรับผู้ป่วยที่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์จริง ๆ”

ขอขอบคุณภาพประกอบจากอินสตาแกรม ladydna