จากกรณี นางศิริลักษณ์ กนกฉันท์ อายุ 53 ปี อสม.หมู่ที่ 32 บ้านหนองคูน้อย อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ เข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.ศีขรภูมิว่า ถูก นายคำอี๊ด ขัตติยานนท์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ต่อว่าพร้อมใช้ฝ่ามือตบไปที่หลังและลำคอ จนได้รับบาดเจ็บขณะกำลังปฏิบัติแนะนำนเรื่องโควิด-19 พร้อมร้องเรียนไปยังศูนย์ดำรงธรรมอำเภอศีขรภูมิ และสื่อมวลชน เนื่องจากเกรงว่า จะไม่ได้รับความเป็นธรรม ต่อมานายคำอี๊ด ยอมรับว่าตบไหล่จริง แต่เป็นเพราะหยอกล้อ และต้องการถามถึงเรื่องส่งรายงาน พร้อมระบุว่า เรื่องราวดังกล่าวมีเบื้องหลังเนื่องจากตัวเองเคยมีเรื่องกับญาติของคู่กรณีเรื่องที่ดิน ขณะที่ปลัดอำเภอศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ สั่งตั้งกรรมการสอบสวน ตามข่าวที่นำเสนอไปแล้วนั้น

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 22 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเย็นวานนี้ (21 ก.ค.) นางธัญญพร มุ่งเจริญพร ประธานสภา อบจ.สุรินทร์พร้อมด้วย เลขาฯ ส่วนตัวของ นายอนุทิน ชาญวีระกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข และประธาน อสม.จังหวัดสุรินทร์ ผอ.รพ.สต. สสอ.ศีขรภูมิ ได้เดินทางมามอบกระเช้าของขวัญเพื่อให้กำลังใจ นางศิริลักษณ์ กนกฉันท์ ซึ่งถูก นายคำอี๊ด ขัติยนนท์ ผู้ใหญ่บ้านทำร้ายร่างกายเมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา และในระหว่างนั้นเองได้มีโทรศัพท์มาจากหน้าห้อง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้โทรศัพท์มาให้กำลังใจ นางศิริลักษณ์ อีกด้วย

นางศิริลักษณ์ ยังกล่าวขอบคุณกำลังใจที่หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย และจะขอทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ในส่วนคดีนั้นก็ขอให้พนักงานสอบสวนดำเนินการอย่างเฉียบขาด เพราะถือว่าเป็นคดีที่สำคัญของการทำหน้าที่ของ อสม. ที่ผ่านมานั้นตนรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ประกอบกับกริยาการทำงานของผู้นำหมู่บ้านที่เมาแล้วชอบหาเรื่องชาวบ้านคงรู้ดี ส่วนในกระแสข่าวที่ออกไปว่ามีเรื่องหมาดหมางกันนั้น ตนเองก็ขอยืนยันเลยว่า มันเป็นคนละส่วนกัน

ทางด้านนายกิตติ สัตย์ซื่อ นายอำเภอศีขรภูมิ กล่าวว่า ในเรื่องของการสอบสวนพยานตลอดจนเอกสารหลักฐานนั้น ตนเองทราบดีว่าอะไรคือสาเหตุ การทำงานร่วมกันมันก็มีการกระทบกระทั่งกันบ้าง ส่วนใครผิดใครถูกนั้น ตนเองพอรู้และทราบเหตุผลดี ต่างคนต่างทำงานร่วมกัน และไม่อยากให้เกิดมีการกระทบกระทั่งกันเกิดขึ้นอีก อย่างไรก็ตามจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย

ขณะที่ พ.ต.ท.สมพงษ์ แก้นจักร รอง ผกก. (สอบสวน) สภ.ศีขรภูมิ กล่าวว่าเรื่องการทำร้ายร่างกายถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่ยากในการสอบสวน เพราะเหลือสอบประจักษ์พยานอีก 2 ปาก ก็สามารถรวบรวมหลักฐานได้ พร้อมกับส่งให้อัยการสั่งฟ้องได้ ในความรู้สึกของพนักงานสอบสวนไม่หนักใจ เพราะต่างฝ่ายก็คนบ้านเดียวกัน ตำรวจพร้อมที่จะให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย