สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานจากเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อวันที่ 3 มี.ค. ว่า นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เข้ารับตำแหน่งผู้นำคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา ในเดือน ม.ค. 2563 ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ยาวนาน ระหว่างซาอุดีอาระเบีย ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันอันดับ 1 ของโลก กับสหรัฐ ตกอยู่ภายใต้ความตึงเครียด จากสถิติทางด้านสิทธิมนุษยชนของริยาด โดยเฉพาะในประเด็น ความเกี่ยวพันในสงครามเยเมน และคดีฆาตกรรมนายจามาล คาช็อกกี นักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุดีอาระเบีย เมื่อปี 2561

เจ้าชายโมฮัมเหม็ด ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจปกครองประเทศสูงสุดโดยพฤตินัย และเป็นที่รู้จักกันในพระนามย่อในภาษาอังกฤษว่า เอ็มบีเอส (MBS) ได้กล่าวให้สัมภาษณ์นิตยสารรายเดือน ดิ แอตแลนติก เล่มล่าสุด เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี (3 มี.ค.) ว่า ริยาดอาจจะลดการลงทุนในสหรัฐ นอกจากนั้นพระองค์ไม่สนใจ หากไบเดนเข้าใจพระองค์ผิด และไบเดนควรคิดถึงผลประโยชน์ของอเมริกาให้มาก “เราไม่มีสิทธิจะไม่สั่งสอนคุณในอเมริกา และคุณก็ไม่มีสิทธิสอนเรา ในประเทศของเราเช่นเดียวกัน” เจ้าชายโมฮัมเหม็ด กล่าว

รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของไบเดน เผยแพร่รายงานข่าวกรอง ซึ่งบ่งชี้เป็นนัยว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ดเกี่ยวพันกับการเสียชีวิตของคาช็อกกี ซึ่งพระองค์ปฏิเสธ และกดดันให้ซาอุฯ ปล่อยตัวนักโทษการเมือง

มกุฎราชกุมารฯ กล่าวอีกว่า พระองค์รู้สึกว่าสิทธิส่วนตัวถูกละเมิด โดยข้อกล่าวหาว่าพระองค์อยู่เบื้องหลัง การฆาตกรรมโหดเหี้ยม ฆ่าหั่นศพคาช็อกกี ภายในสถานกงสุลซาอุดีอาระเบีย ในเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี.

เครดิตภาพ – Reuters
เครดิตคลิป – WION