เมื่อวันที่ 3 มี.ค. ที่ รร.บุรีศรีภู คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย (มท.1) มอบนโยบายและบรรยายพิเศษแนวทางการขับเคลื่อนศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ในระดับพื้นที่ โดยมีนายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย, นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.), นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน (พช.), ผู้บริหารกระทรวง, ผู้ว่าราชการจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับฟัง และถ่ายทอดสดการประชุมผ่านระบบ DOPA Channel ไปยังทุกจังหวัดและอำเภอทั่วประเทศ โดยมีปลัดอำเภอ พัฒนาการอำเภอ สาธารณสุขอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ร่วมรับฟังด้วย

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาความยากจนให้กับประชาชน เพราะยังมีผู้ที่ทุกข์ยากลำบากอยู่ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเดือดร้อนด้านต่าง ๆ ซึ่งมีเจตนาเพื่อให้ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เป็นที่มาของการขับเคลื่อน ศจพ. มีเป้าหมายสำคัญ คือ การแก้ปัญหาความยากจนแบบพุ่งเป้าแต่ละครัวเรือน หรือการตัดเสื้อให้พอดีตัว โดยมีกลไกการดำเนินงานตั้งแต่ระดับนโยบายถึงระดับปฏิบัติในพื้นที่ ได้แก่ ระดับจังหวัด ผ่านศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจังหวัด (ศจพ.จ.), ระดับอำเภอ ผ่านศูนย์อำนวยการปฏิบัติการฯ อำเภอ (ศจพ.อ.) และระดับปฏิบัติการ ผ่านทีมปฏิบัติการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระดับพื้นที่

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า มีการตั้งทีมพี่เลี้ยงเข้าไปรับทราบปัญหา ช่วยหาทางแก้ไข โดยจัดทำแผนครัวเรือนร่วมกับทุกครัวเรือนยากจนในทุกหมู่บ้าน/ชุมชน และสนับสนุนให้ครัวเรือนมีการวางแผน/แก้ปัญหาตรงตามสภาพปัญหาที่แต่ละครอบครัวกำลังเผชิญ เมื่อทราบปัญหาของแต่ละครอบครัวแล้ว ทีมพี่เลี้ยงจะได้นำข้อมูลมารายงาน ศจพ. อำเภอ เพื่อบูรณาการความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เสร็จสิ้นในระดับอำเภอ ทั้ง 5 มิติ ได้แก่ 1.สุขภาพ 2.ความเป็นอยู่ 3.การศึกษา 4.ด้านรายได้ และ 5.การเข้าถึงบริการภาครัฐ ด้วยการลงไปพื้นที่ ติดตามการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของครัวเรือนยากจนอย่างใกล้ชิดต่อเนื่องในลักษณะ Intensive care ซึ่งเป็นหัวใจของการทำงาน ทั้งนี้ ต้องมีการสร้างการรับรู้ทุกขั้นตอน มีการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง

“ความสำเร็จหรือล้มเหลวทั้งหมดอยู่ที่กลไกในพื้นที่ทั้งหมด กลไกพื้นที่จึงมีความสำคัญที่สุด แม่ทัพของพื้นที่ ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะประธาน ศจพ.จังหวัด และนายอำเภอ ในฐานะประธาน ศจพ.อำเภอ ทีมตำบล และทีมพี่เลี้ยงในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมพี่เลี้ยง ที่ต้องดำเนินการวิเคราะห์ปัญหาและหาแนวทางการแก้ไข ตามหลัก 4 ท คือ ทัศนคติ ทักษะ ทรัพยากร และทางออก โดยครัวเรือนมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ การคิด ตามสภาวะแวดล้อมที่สามารถทำได้ และต้องไม่บังคับให้เขาทำ ซึ่งพัฒนากรต้องสร้างความเข้าใจให้ทีมพี่เลี้ยง ไปสำรวจให้รู้ปัญหา รู้แนวทางการทำงาน และวิเคราะห์ปัญหาทั้งหมดให้ออกมา เพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกับครัวเรือน พร้อมทั้งติดตาม ตรวจสอบ วิเคราะห์ ดูแลอย่างใกล้ชิด และบันทึกในระบบ Logbook ทุกครั้งที่ได้ให้ความช่วยเหลือ มุ่งแก้ปัญหาแบบพุ่งเป้า คือ ใช้เป้าที่ได้สำรวจแล้วเป็นเป้าหมายขับเคลื่อนแก้ปัญหาไปพร้อมกันให้แล้วเสร็จในระดับอำเภอ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ก.ย. 65” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวต่อว่า โดยนายอำเภอต้องเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการบูรณาการ หากปัญหาที่พบนอกเหนือจากเมนู ให้ประสานหน่วยงานในพื้นที่ในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ หากไม่สามารถแก้ไขในระดับอำเภอได้ ให้รายงานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บูรณาการ ไม่รอตั้งงบประมาณ แต่ต้องหาช่องทางบูรณาการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้ และหากเป็นสภาพปัญหาที่ต้องแก้ไขในระดับนโยบาย ให้รายงานมายังกระทรวงมหาดไทยเพื่อนำกราบเรียนนายกรัฐมนตรี พิจารณาสั่งการต่อไป และในด้านกลไกการติดตามประเมินผล ได้มอบหมายผู้ตรวจราชการกระทรวงและผู้ตรวจราชการกรม ลงพื้นที่ติดตามการขับเคลื่อนให้เป็นไปตามที่กำหนด ทั้งนี้ การสร้างการรับรู้เป็นเรื่องที่สำคัญ ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ รวมพลังทุกภาคส่วน ใช้ช่องทางการสื่อสารทุกรูปแบบทุกขั้นตอน ทั้ง Online, Onsite, Onground สร้างความรับรู้เข้าใจให้เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย ใช้คำ ใช้ภาษา ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการสื่อ และสื่อสารในหลาย ๆ ช่อง หลาย ๆ เวลา ทำซ้ำ ๆ ทำบ่อย ๆ ต่าง ๆ บูรณาการกัน ใช้พลังในการสื่อสาร เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่ม ถ้าทุกคน ทุกภาคส่วนมาร่วมมือกัน จะมีพลังเพื่อปลายทาง คือ ประชาชนมีความสุข

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวด้วยว่า ตนได้เน้นย้ำนโยบายการขับเคลื่อนการทำงานในระดับพื้นที่ โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการทุกภาคส่วนรณรงค์ลดอุบัติเหตุบริเวณทางข้าม, ตัด Demand Side และ Supply Side ของยาเสพติดอย่างจริงจัง, บริหารจัดการสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้เป็นไปตามแนวทางกระทรวงสาธารณสุข, การจัดระเบียบสายสื่อสารบริเวณเสาไฟฟ้า, การบริหารงานด้วยหลักธรรมาภิบาล ในทุกระดับ ทุกกลไกในพื้นที่ ให้เป็นไปด้วยความโปร่งใส และกำชับผู้ปฏิบัติงานให้ปฏิบัติงานด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า เป็นระยะเวลากว่า 130 ปี กระทรวง มท. ที่ภารกิจในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ของชาวมหาดไทยไม่เคยเปลี่ยน ซึ่งการขับเคลื่อน ศจพ. เป็นทั้งงานตามหน้าที่ในฐานะข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นายกเหล่ากาชาดจังหวัด และงานส่วนตัวในฐานะคนที่อยากทำสิ่งที่ดีที่มีเป้าหมายเดียวกัน คือ ภายใน 30 ก.ย. 65 คนจนจะหมดไป เราจะทำให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยมีแม่ทัพในพื้นที่ บูรณาการทุกภาคส่วน ร่วมแก้ปัญหาความยากจนและความเดือดร้อนของผู้คนทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ทั้งที่เป็นงบราชการและไม่ใช่งบราชการ เราต้องทำจริง Re X-ray ข้อมูลจาก TPMAP ด้วยระบบ ThaiQM และค้นหาปัญหาความเดือดร้อนทุกเรื่องที่ประชาชนได้ประสบและไม่สามารถแก้ไขได้ มาวิเคราะห์ ค้นหาปัญหา อะไรที่แก้ไขได้ในระดับอำเภอให้ดำเนินการ ถ้าแก้ไม่ได้ให้นำเสนอจังหวัด หรือระดับนโยบาย หาทางช่วยเหลือแก้ไขต่อไป

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า ประการต่อมา ให้ทุกอำเภอปฏิบัติตามตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการใช้จ่ายเงินของ อปท. ในการช่วยเหลือประชาชนของ อปท. ซึ่งกำหนดให้ทุก อปท. ต้องตั้งศูนย์ช่วยเหลือประชาชน และทุกที่ว่าการอำเภอต้องตั้งศูนย์ประสานงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นช่วยเหลือประชาชน เพื่อเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาที่มีความยั่งยืน และประการถัดมา ต้องวางระบบการทำงานตามหลักการ R E P คือ R คือ งานประจำ (Routine), E คือ งานเพิ่มเติมนอกเหนือจากอำนาจหน้าที่ (Extra Job) และ P คือ การรายงาน (Press release) ทั้งการรายงานผลงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ รายงานสื่อสารให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่และในประเทศได้รับรู้ รายงานผลการดำเนินงานของส่วนราชการในพื้นที่ให้ต้นสังกัดทราบ

“ในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ต้องไปหาปัญหาให้เจอ วินิจฉัยโรค และแก้ไข โดยหากจะทำให้ยั่งยืน ต้องน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ มุ่งเน้นทำให้เขาสามารถพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งเรามีภารกิจไม่ใช่แค่ทำให้คนอยู่รอด แต่ต้องทุ่มเทพละกำลังทำให้เขาสามารถพัฒนาตัวเอง เพื่อขึ้นมาดูแลตัวเองได้ นั่นคือการพัฒนาคนอันเป็นหน้าที่ของเรา” นายสุทธิพงษ์ กล่าว

จากนั้น เวลา 13.00 น. นายสมคิด ได้ชี้แจงแนวทางขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนในระดับพื้นที่ โดยได้ให้ตัวแทนจังหวัดที่เข้าร่วมจัดนิทรรศการ ประกอบด้วย นครศรีธรรมราช กระบี่ สงขลา และตรัง นำเสนอข้อมูลผลการดำเนินงาน โดยการใช้ปฏิบัติการ 4 ท (ทัศนคติ ทักษะ ทรัพยากร ทางออก) ในการวิเคราะห์สภาพปัญหาต่อที่ประชุม เพื่อเป็นกรณีศึกษาและเป็นตัวอย่างแนวทางการขับเคลื่อนงานในระดับพื้นที่ให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม และสร้างความเข้าใจในการจัดทำฐานข้อมูล การบันทึกข้อมูล และสนับสนุนการขับเคลื่อนงานในระดับพื้นที่ ให้เกิดการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความยากจน อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลเป็นรูปธรรม และเกิดการบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน นำไปสู่การแก้ไขปัญหาคุณภาพชีวิตของประชาชนทั่วประเทศในทุกมิติได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้ ภาคใต้ มีจำนวนเป้าหมายคนยากจนตาม TPMAP จำนวน 210,885 คน หรือ 130,248 ครัวเรือน โดย 3 จังหวัดแรกที่มีจำนวนเป้าหมายมากที่สุดได้แก่ 1.จ.นครศรีธรรมราช จำนวน 36,941 คน 2.จ.ปัตตานี จำนวน 28,203 คน และ 3.จ.สงขลา จำนวน 27,368 คน.