เมื่อวันที่ 4 มี.ค. จากกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาอุทธรณ์คดีบ้านเอื้ออาทร ที่มีนายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กับพวกอีกหลายคน ตกเป็นจำเลย โดยวันนี้ศาลได้พิพากษายืน คือให้จำคุก 99 ปี แต่ตามกฎหมายให้จำคุกได้สูงสุดแค่ 50 ปี และแก้คำสั่งยึดทรัพย์เป็น 89 ล้านบาท จากนั้นนำตัวนายวัฒนาเข้าเรือนจำทันที

ปิดฉากคดีบ้านเอื้ออาทร-สั่งจำคุก ‘วัฒนา’ 99 ปี ยึดทรัพย์ 89 ล้านบาท

ภายหลังฟังคำพิพากษา นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ในฐานะทนายความของนายวัฒนา เมืองสุข กล่าวว่า หลังศาลพิพากษายืนจำคุกนายวัฒนา ทีมทนายความต้องกลับมาคิดทบทวนว่าเรามีประเด็นการดำเนินการที่ผิดพลาดตรงไหนหรือไม่ แต่จากที่คุยกับนายวัฒนาเรายอมรับคำพิพากษาเพราะเป็นกติกาของกระบวนการยุติธรรม แต่การยอมรับในคำพิพากษา ไม่ได้หมายความว่านายวัฒนายอมรับว่าได้กระทำผิด เมื่อสักครู่ได้คุยกันหลายเรื่องก่อนที่เจ้าหน้าที่จะควบคุมตัวไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยนายวัฒนาฝากตนมาบอกว่า การที่ได้ต่อสู้คดีมาตั้งแต่ปี 49 จนถึงวันนี้เป็นการแสดงเจตนาให้เห็นว่าตนเองบริสุทธิ์ เรามาฟังคำพิพากษาก็ไม่ได้เตรียมชุดมา เพราะคิดว่าได้กลับบ้าน คดีนี้นายวัฒนาว่าความด้วยตนเองมาตลอด ตนเป็นคนสนับสนุนเรื่องพยานหลักฐานและกระบวนการต่างๆ ในชั้นศาลด้วยความเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์

เมื่อถามว่า เรื่องนี้มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวหรือไม่ นายนรินท์พงศ์ กล่าวว่า นายวัฒนาเป็นอดีตรัฐมนตรี เป็นนักการเมือง ตนเป็นทนายความ คงแยกแยะไม่ได้ว่าการลงโทษนายวัฒนาเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่ ตนก้าวล่วงไม่ได้ แต่เชื่อว่าพยานหลักฐานวันนี้ และคำพิพากษาที่ออกมาโดยละเอียด ประชาชนที่ได้รับทราบควรไปใช้วิจารณญาณว่าการตัดสินลงโทษจำเลยในวันนี้ เป็นเรื่องการเมืองหรือไม่อย่างไร ตอนนี้ต้องยอมรับว่านายวัฒนาเป็นมนุษย์ประหลาด มีจิตใจที่เข้มแข็งไม่กระทบกระเทือน และไม่พูดจาก้าวล่วงต่อศาล แต่ขอให้นายวัฒนาได้ตั้งหลักนิดหนึ่ง วันนี้ก็มียาลดความดัน ยาโรคหัวใจ และโรคเกี่ยวกับตับ หลังจากนี้ก็จะประสานความเป็นอยู่ของการรับการรักษาพยาบาลตามกระบวนการของราชทัณฑ์ ในกรณีผู้ต้องขังสูงอายุ ส่วนเรื่องจะมีการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษหรือไม่นั้น ค่อยพิจารณาต่อจากนี้ หลังจากนี้ก็จะต้องเข้าไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยต้องกักตัวตามมาตรการโควิด-19 จำนวน 21 วัน