ที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง เมื่อวันที่ 4 มี.ค. องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ นัดอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ หมายเลขดำ อม.อธ. 1/2565 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวัฒนา เมืองสุข อายุ 65 ปี อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และพวกรวม 14 ราย เป็นจำเลยในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 และตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐพ.ศ.2502 มาตรา 6, 11

ปิดฉากคดีบ้านเอื้ออาทร-สั่งจำคุก ‘วัฒนา’ 99 ปี ยึดทรัพย์ 89 ล้านบาท

องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิจารณาพยานหลักฐานที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไต่สวนประกอบการแถลงปิดคดีด้วยวาจาของจำเลยที่ 1 แล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ มีประเด็นต้องวินิจฉัย คตส.ได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ ป.ป.ช. และมีการตั้งคณะทำงานร่วมกับผู้แทนของอัยการสูงสุดพิจารณาหลักฐานจนครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว จึงส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณาฟ้องโดยชอบตามกฎหมาย

“เสี่ยไก่” มั่นใจคดีบ้านเอื้ออาทร สู้สุดทางหากผลเป็นลบเตรียมถวายฎีกา

ประเด็นวินิจฉัยต่อมาที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 จึงไม่มีอำนาจพิจารณาโครงการของการเคหะแห่งชาติ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี กำกับดูแลหน่วยงานในสังกัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และตามพ.ร.บ.การเคหะแห่งชาติ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจกำกับดูแลหรือยับยั้งการกระทำใดที่อาจทำให้เกิดความเสียหาย จำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจดูแลกำกับการเคหะแห่งชาติตามกฎหมาย

“วัฒนา” ป่วยหลายโรค เตรียมยาประจำตัว ประสานราชทัณฑ์ดูแล

ประเด็นต้องวินิจฉัยต่อมา จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจ หรือจูงใจ เพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหาให้มาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเอง หรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 หรือไม่ คดีนี้ คตส.ได้มีการเรียกผู้ประกอบการมาให้การ โดยแจ้งว่าหากให้ความร่วมมือจะกันไว้เป็นพยาน ซึ่งผู้ประกอบการ 8 ราย ให้การยอมรับว่า ได้รับการติดต่อจากตัวแทนจำเลยที่ 1 อ้างว่าหากอยากได้งานต้องมีการจ่ายค่าตอบแทน ซึ่งจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าพยานเหล่านี้ คตส.ใช้วิธีการข่มขู่ จูงใจ หรือให้คำมั่นสัญญาว่าหากให้การเป็นประโยชน์จะกันไว้เป็นพยาน พยานปากเหล่านี้จึงไม่อาจรับฟังได้ตามกฎหมาย เห็นว่าการสอบสวนเป็นวิธีการของเจ้าพนักงานในการแสวงหาหลักฐาน โดยไม่ปรากฏว่ามีการจูงใจหรือชี้นำพยานว่าต้องให้การไปในทางใดจึงสามารถรับฟังพยานเหล่านี้ได้

คดีนี้จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าไม่ได้แต่งตั้งนายอภิชาต จันทร์สกุลพร จำเลยที่ 4 เป็นที่ปรึกษา แต่จำเลยที่ 4 แอบอ้างและทำเองตามลำพัง เห็นว่า จำเลยที่ 4 มาพบจำเลยที่ 1 หลายครั้ง อีกทั้งยังไปแนะนำตัวกับจำเลยอื่นและผู้ประกอบการว่าเป็นที่ปรึกษาจำเลยที่ 1 ประกอบกับพยานที่เป็นเจ้าหน้าที่การเคหะเข้าเบิกความ และมีพยานเบิกความว่าได้ส่งเอกสารเชิญประชุมระบุชื่อจำเลยที่ 4 เป็นที่ปรึกษา แม้จำเลยที่ 1 ไม่ได้แต่งตั้งจำเลยที่ 4 อย่างเป็นทางการ แต่เป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่าจำเลยที่ 4 กระทำในฐานะที่ปรึกษาจำเลยที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 5 เป็นเลขานุการ จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 4 เป็นที่ปรึกษาจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 5 เป็นเลขานุการ อย่างไม่เป็นทางการ

ต่อมาจำเลยที่ 1 สั่งการให้การเคหะฯ ออกประกาศฉบับใหม่ หากผู้ประกอบการรายใดยังไม่ได้รับการอนุมัติโครงการให้ผู้ประกอบการยื่นแบบโครงการ พร้อมแนบหลักประกันร้อยละ 5 ของโครงการ โดยจำเลยที่ 1 ยังเคยเรียกประชุมผู้ประกอบการแจ้งว่ามีค่าดำเนินการยูนิตละ 1 หมื่นบาท หากผู้ประกอบการรายใดพร้อมจะได้รับอนุมัติโครงการ ซึ่งมีพยานโจทก์หลายรายให้การสอดคล้องกันว่า ได้ยินผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติโครงการ แจ้งว่า หากอยากได้งานให้ติดต่อจำเลยที่ 4 โดยมีจำเลยที่ 5 เป็นผู้ประสานงาน พยานจึงยอมจ่ายค่าตอบแทน โดยลดราคาเหลือ 9,000 บาทพยานจึงนำเช็คจำนวน 46 ล้านบาทไปให้ จึงได้รับอนุมัติโครงการสร้างบ้านเอื้ออาทร จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 อาศัยประกาศฉบับใหม่เรียกรับเงินจากผู้ประกอบการจริง และเชื่อว่าจำเลยที่ 1 รู้เห็นเป็นใจด้วย จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมข่มขืนใจ หรือจูงใจ เพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหาให้มาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเอง หรือผู้อื่น

ประเด็นการริบทรัพย์สินนั้น เห็นว่า เมื่อเงินที่จําเลยที่ 1 กับพวกได้นำเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยการกระทําความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 ซึ่งขณะนั้นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 42 และ 43 ยังไม่มีผลใช้บังคับ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการริบทรัพย์สิน จึงต้องนําประมวลกฎหมายอาญาใช้บังคับแทน แม้โจทก์ไม่ได้อ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (2) แต่เมื่อโจทก์มีคําขอให้ ริบเงินแล้ว ศาลจึงมีอํานาจริบเงินได้ ทั้งต้องปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องและเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี อันมีผลถึงจําเลยอื่นที่ไม่ได้อุทธรณ์ด้วย สําหรับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่ง ทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 44 เป็นมาตราเพื่อการบังคับให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ศาลสั่งริบ จึงนํามาใช้บังคับให้จําเลยที่ 1 ส่งเงินที่ริบโดยชําระเป็นเงินแทนตามมูลค่าของเงินที่ศาลสั่งริบพร้อมด้วยดอกเบี้ยได้

ประเด็นการริบเงิน 89 ล้านบาท ตามอุทธรณ์โจทก์นั้น เห็นว่า การจ่ายเงินจำนวน 89 ล้านบาท ให้จำเลยที่ 7 เป็นการจ่ายเงินเพื่อตอบแทนข้อตกลงในการผลักดันโครงการบ้านเอื้ออาทรของบริษัท ช. โครงการอื่นนอกจากโครงการบ้านเอื้ออาทร ส. เงินจำนวน 89 ล้านบาท จึงเป็นเงินที่สัมพันธ์กับเงินสินบนที่ใช้ในการอำนวยความสะดวกให้กับโครงการบ้านเอื้ออาทรอื่นของบริษัท ช. เงินดังกล่าวจึงเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดที่ศาลมีอำนาจริบได้

พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ปรับบทตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรง ตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 42,43 แต่ให้ปรับบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (2) ริบเงิน 89 ล้านบาทด้วย โดยให้จำเลยผู้มีหน้าที่ต้องส่งเงิน 89 ล้านบาท ที่ริบชำระเป็นเงินแทนตามมูลค่าของเงินที่ศาลสั่งริบภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันอ่านคำพิพากษานี้ หากจำเลยที่ 1 ที่ 4 ถึงที่ 8 และที่ 10 ไม่ชำระเงินภายในระยะเวลากำหนด ต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนนับแต่วันที่ 24 ก.ย.63 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 10 เม.ย.65 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เม.ย.64 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่อัตราดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 11 เม.ย.64 หากกระทรวงการคลังออกพระราชกฤษฎีกาปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย ให้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยไปตามนั้น ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ โดยให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ถึงที่ 8 ร่วมกันชำระเงินแทนตามมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกคนละ 89 ล้านบาท จากคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรง ตำแหน่งทางการเมืองกำหนดไว้นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ให้ออกหมายจำคุกถึงที่สุดจำเลยที่ 1 และออกหมายจับจำเลยที่ 6, 7 และ 10 มาฟังคำพิพากษาวันที่ 27 เม.ย.นี้ เวลา 14.00 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลใช้เวลาอ่าน 2 ชั่วโมง ภายหลังเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้คุมตัวไปเรือนจำ