เมื่อวันที่ 11 มี.ค. น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ยืนยันไม่เคยทำให้ นามสกุล ‘ยงใยยุทธ’ เสื่อมเสีย ภายหลัง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีมอบหมายฝ่ายเกี่ยวข้องทำหนังสือแจ้งให้เลิกใช้นามสกุล “ยงใจยุทธ” โดยให้เวลาเปลี่ยนนามกสุลภายใน 15 วัน โดยน.ส.ณัฐธ์ภัสส์ กล่าวว่า ส่วนตัวยังไม่ได้รับหนังสือดังกล่าว และไม่ทราบรายละเอียดของเนื้อหาทั้งหมดอย่างเป็นทางการ พร้อมยืนยันตลอดเวลาที่ตนทำงานการเมืองและดูแลช่วยเหลือประชาชนทั้งในนามอดีตผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม และข้าราชการการเมือง ในส่วนของกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ได้ตั้งใจทำงานในหน้าที่อย่างเต็มที่ และไม่เคยมีทำพฤติกรรมที่สร้างความเสื่อมเสีย หรือความเสียหายต่อองค์กร รวมถึงต้นตระกูล รวมถึงไม่เคยใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในทางทุจริตต่อหน้าที่

“การทำงานที่ผ่านมา ไม่ว่าในฐานะใด มีตำแหน่งหรือไม่มีตำแหน่ง ดิฉันมุ่งมั่นทำงานด้วยหัวใจ เพื่อรับใช้พี่น้องประชาชนให้อยู่ดี กินดี ไม่เคยแอบอ้าง หรือใช้ชื่อเสียง หรือนามสกุลเพื่อทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร หรือทำผิดกฎหมาย ตำแหน่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เป็นตำแหน่งทางการเมืองชั่วคราว มาแล้วก็ไป แต่นามสกุลที่ใช้ ทุกคนในสังคมรู้ที่มาที่ไปอย่างดี ส่วนประเด็นที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวในครอบครัวที่เกิดขึ้นก่อนรับตำแหน่ง” น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ กล่าว

น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ กล่าวด้วยว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญที่เป็นกติกาหลักของประเทศ ได้บัญญัตติรับรองสิทธิสตรีให้มีความเสมอภาคทางกฎหมาย และได้รับความคุ้มครอง ไม่ให้ถูกเลือกปฏิบัติ และตามปฏิญญาสากล ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ ยังรับรองสิทธิของสตรีต่อการเลือกใช้ชื่อสกุล และคำนำหน้านามได้ว่าจะสามารถเลือกใช้นามสกุลตัวเองหลังสมรสได้ รวมถึงเลือกใช้นามสกุลมารดาเป็นนามสกุลของตนได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นการห้ามผู้มีสิทธิโดยชอบใช้นามสกุลเป็นการละเมิดสิทธิตามที่รัฐธรรมนูญของประเทศไทยรับรองไว้ รวมถึงอนุสัญญาของต่างประเทศด้วย นอกจากนั้นสตรีที่รักษาและสร้างเกียรติยศดีงามแก่วงศ์ตระกูล จึงไม่มีอำนาจใดที่จะชี้ขาดห้ามใช้ชื่อสกุลได้.

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ที่มีศักดิ์เป็นหลานสาวของ พล.อ.ชวลิต เนื่องจาก น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ เป็นลูกของน้องสาวภรรยาอีกคนของ ร.อ.ชั้น ยงใจยุทธ บิดาของ พล.อ.ชวลิต ทั้งนี้คาดว่าทั้งคู่อาจมีจุดยืนทางการเมืองที่ต่างกัน จึงนำไปสู่การมีคำสั่งให้เปลี่ยน นามสกุล.