จัดเป็นอีกหนึ่งประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ที่หลายคนสนใจอย่างมากมาย​ สำหรับเรื่องราวการเสียชีวิตของพระเอกตลอดกาล เอก สรพงศ์ ชาตรี ที่จากไปอย่างสงบจากโรคมะเร็งปอด ท่ามกลางความอาลัยของคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งล่าสุดที่วัดเทพศิรินทร์ ได้มีการงานพระราชทานน้ำหลวงอาบศพของสรพงศ์ ซึ่งภายหลังสาว ขวัญ พิมพ์อัปสร เทียมเศวต ลูกสาว และอดีตภรรยา โย ทัศน์วรรณ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา ได้ออกมาอัพเดทความรู้สึกว่า

ขวัญ เปิดเผยว่า “ส่วนตัวทราบข่าวว่าคุณพ่อป่วยมาพักใหญ่แล้ว แต่อย่างที่ทุกคนอาจไม่ได้ทราบมาก่อน เนื่องจากเป็นความประสงค์ของคุณพ่อที่ไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วง เพราะอย่างที่เห็นว่าคุณพ่อเป็นคนที่แข็งแรงมาก ๆ เราก็คิดว่าพอรักษากลับมาทำงานแข็งแรงเหมือนเดิม เลยไม่ได้บอกใคร แรก ๆ ตนยังไม่ได้ไปเยี่ยมท่าน เพราะว่าเป็นช่วงที่ไม่ได้เป็นอะไรเยอะ ช่วงหลังจะร่วมงานกับคุณพ่อบ่อยมาก ทุกครั้งที่ไปที่กองถ่ายคุณพ่อจะแข็งแรงมาก ๆ ในอายุประมาณนี้ จึงคิดว่าเดี๋ยวเขาก็หาย แต่ตอนนั้นคือยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นอะไรกันแน่ เลยยังไม่ได้ไปหา เพราะติดช่วงโควิด พออาการเยอะขึ้น จึงเริ่มต้องดูแล้ว​ ซึ่งอาการเยอะขึ้น จากตอนแรกที่เหมือนมีอาการป่วยนิดหน่อย เริ่มช้าลง ไม่ได้เดินได้สะดวกเหมือนเดิมมาพักใหญ่ ประมาณช่วงปีที่แล้ว จำเวลาแน่นอนไม่ได้ เพราะว่าเป็นช่วงที่เป็นโควิดด้วย มันเลยกลายเป็นมาอยากบอกให้ใครมาเยี่ยม และเราก็กลัวเรื่องติดเชื้อด้วย ยิ่งไม่ได้บอกใครใหญ่เลย แต่ก็ญาติก็ทยอยมาเยี่ยม แต่​ ทุกคนคิดว่าคุณพ่อต้องหาย เร็ว ๆ นี้ก็ยังคิดว่าคุณพ่อต้องหาย ซึ่งกำลังใจของคุณพ่อดีตลอด คุณพ่อเป็นคนที่แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ แม้กระทั่งวินาทีเมื่อวาน ก็ไปแบบกำลังใจ ไปแบบยิ้ม”

“ขวัญอยู่กับพ่อในช่วงสุดท้ายค่ะ จากปกติทุกครั้งที่ไปความดันของคุณพ่อจะอยู่ประมาณ 130-140 ขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ว่าสิ่งที่เกิดขันเมื่อวานคือความดันตก ประมาณ 70 คือรู้เลยว่าลดลงกว่าเดิมเยอะ และคุณหมอก็พยายามปั๊มและช่วย แต่ว่าไม่ขึ้นและทุกครั้งที่เข้าไปจับมือคุณพ่อ มือคุณพ่อจะอุ่น แต่เมื่อวานมือคุณพ่อเย็น เรก็พยายามบีบให้มืออุ่นขึ้น ทุกคนพยายามเอาใจช่วยแต่ก็รู้สึกว่าคุณพ่อสู้มาเยอะ คุณหมอยังบอกเลยว่า หัวใจแข็งแรงมาก ถ้าความดันตกขนาดนี้ แต่ร่างกายคุณพ่อแข็งแรงมาก เลยไม่ได้ถอดเครื่อง คุณพ่อยังอยู่ได้นานเรื่อย ๆ จนกระทั่งค่อยๆจากไป คุณหมอยังคิดว่าจะเสียก่อนเวลาที่ไปจริง แต่คุณพ่อยังหายใจได้อยู่ คือมะเร็งมันก็ลาม ตรงนี้ติดเชื้อ ให้ยา ไตมีปัญหาก็ต้องฟอกไต แต่โดยพื้นฐานเป็นคนที่ร่างกายแข็งแรง อวัยวะอื่น ๆ ก็แข็งแรง แต่ขวัญไม่ได้ทราบอาการทุกช่วง อย่างทำงานด้วยกัน คุณพ่อพบจุดในปอดก็ไปรักษา แต่อาจมีบางช่วงที่อาการแทรกซ้อน น้ำท่วมปอด แต่ภายใต้ทั้งหมดเราก็พยายามรักษาอย่างดีที่สุด”

ขวัญ เล่าต่อว่า “ส่วนเรื่องมะเร็งลำไส้มันตอบไม่ได้ชัดเจน ว่าหายร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่ หรือกำเริบอีก สุดท้ายร่ายกายมันฟังก์ชั่นกันหมดเลย แต่ส่วนของลำไส้ เท่าที่ทราบช่วงที่จะเสียคืออาจไม่ได้เกี่ยวมาก ไม่ได้เป็นสาเหตุมากมาย แต่เราอาจตอบไม่ได้ชัดเจนเพราะอวัยวะมันสัมพันธ์กันหมด มันอาจมีผลต่อเนื่องกันมากน้อยอย่างไร ระหว่างที่จับมือคุณพ่อขวัญก็พูดตลอด ถ้าคุณพ่อไม่ไหวจริง ๆ ก็ไม่ต้องห่วงอะไร ทุกคนก็ช่วยกันพูดว่าเราเคารพ ไม่ว่าพ่อจะอยู่หรือไป พ่อก็อยู่ในใจเรา เราก็ไม่อยากไม่อยากให้เขาห่วงอะไร ถ้าเขาจะไปหรือทรมาน เราก็ไม่อยากให้เขาทรมาน สิ่งที่ทุกคนกำลังทำ คือไม่อยากให้เขาทรมาน แม้กระทั่งอยู่ในห้องไอซียู ทำยังไงก็ได้ให้คุณพ่อไม่เจ็บปวดหรือทรมาน ดังนั้นคุณจึงไม่ร้องเจ็บปวด จะนิ่งสงบ เปิดบทสวดธรรมะไปด้วย เขาจะไม่อยู่ในอาการเจ็บ ตลอดระยะเวลาที่เข้ารับการรักษาตัว คือสู้และหน้าตาสดใสตลอด ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่ไป หน้าสดใสเหมือนพวกเราปกติเลย แรงเยอะมากเหมือนเดิม เพียงแต่มีความเจ็บป่วย แต่ร่างกาย พละกำลัง ทุกอย่างแข็งแรงกว่าหนูด้วยซ้ำ มีแค่อาทิตย์ที่แล้วที่หน้าตาซูบลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เราเห็นจากสัญญาณชีพจรต่าง ๆ ก็สู้สุด ๆ ค่ะ”

“ตลอดระยะเวลาคือรับรู้ แต่จะมีบางทีที่หมอจะให้ครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่คุณพ่อจะแสดงออกให้เราเห็นว่าแม้ตอนครึ่งหลับครึ่งตื่นว่ารับรู้นะ อาจตื่นมาจำได้บ้างหรือไม่ได้บ้าง แต่ไม่มีช่วงที่ไม่รับรู้ สำหรับป้าชั้นคอยช่วยคุณแม่เลี้ยงขวัญมา เลยสนิทกันมาก ส่วนพิพิธภัณฑ์ที่อยุธยา ก็เป็นบ้านของครอบครัวที่คุณพ่ออยู่ตั้งแต่เด็ก ก็จะมีคุณปู่ คุณย่า คุณพ่อและพี่น้อง หนึ่งในนั้นก็คือป้าชั้น ตอนเด็ก ๆ ทุกปิดเทอมหนูก็จะไปอยู่บ้านั้นและป้าและยายจะช่วยหนูมา ก็จะรู้สึกผูกพันและดูแลกันมาตลอด ทุกครั้งขวัญจะไปรับป้าที่อยุธยา​ ไปเยี่ยมคุณพ่อที่ รพ. หรือที่บ้านและไปส่งแก สำหรับความผูกพันระหว่างขวัญกับคุณพ่อ เอาจริง ๆ มันจะมีช่วงที่เจอกันเยอะ บางช่วงเจอกันน้อย แต่เราสนิทกับย่าและป้า และหลาน ๆ บ้านคุณพ่อทุกคนมาก โตมาด้วยกัน เลยผูกพัน แล้วตอนที่ขวัญมาเป็นผู้จัด คุณพ่อก็มาเล่นให้ตลอดเลย ไม่ว่าขวัญจะให้ทำอะไร คุณพ่อก็จะพยายามทำให้ บางทีคุณพ่อก็จะบอกว่าทำไมบทยากขนาดนี้ ทำไมต้องเป็นพ่อ อย่าง แม่อาสะอื้น คุณพ่อต้องเรียนภาษาเหนือนะ ทั้งที่เวอร์ชั่นก่อน ๆ ไม่ต้องทำ ต้องเรียนรำกลองสะบัดชัย พ่อต้องตาบอดและไอด้วย เขาก็อบกว่าพ่อต้องทำทุกอย่างพร้อมกันหมดเลยในเรื่องนี้เหรอ พ่อหกสิบแล้วนะ เราก็บอกว่านี่ไง ถึงต้องเป็นคุณพ่อไง เขาก็ทำให้สุดพลัง ตอนหลังได้ร่วมงานกันบ่อย รู้สึกเขาแข็งแรง และดุแลสุขภาพยิ่งกว่าเราอีก จะคอยทุกคนว่าอันนี้กินไม่ดี ขวัญคิดว่าคุณพ่อจะอยู่กับเรายันอายุแปดสิบ คือมาตรฐานทั่วไป เลยไม่คิดว่าคนที่แข็งแรงขนาดนี้ อารมณ์ก็ดีด้วย ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า จะไปอายุเจ็ดสิบกว่า ซึ่งเท่ากับที่คุณปู่เสียก็อายุเท่านี้”


ลูกสาวศิลปินแห่งชาติคนดัง เผยต่อว่า “สำหรับความผูกพันในฐานะพ่อและนักแสดงก็ต่างนิดนึงตรงที่ว่า บางทีเราบังคับแบบอ้อนเขาได้มากกว่า นักแสดงบางคนจะเกรงใจ แต่คุณพ่อเราอ้อนเขา เขารู้ว่าเขาจะทำยังไง หรือบางทีที่คุณพ่อชอบคุยกับเด็กรุ่นใหม่เพลิน บางทีเขาคุยสนุก ทุกคนก็รักเขา บางทีก็มัวแต่หกสูงให้ทุกคนดู เพราะเขาแข็งแรง ถ้าเราไม่ใช้ลูกคงไม่กล้าพูด แต่ทุกคนจะให้เราพูดหน่อย เราก็จะบอกว่าพ่อพอแล้ว เดี๋ยวเป็นอะไรไป เราก็เป็นห่วง แต่เขาก้ไม่เคยเป็นอะไร ต่างกันแค่นิดหน่อยแต่นอกนั้นคือ คุณพ่อทำงานมืออาชีพ ขวัญเป็นผู้จัด เขาก็จะบอกเราเสมอว่ามืออาชีพ หรือแม้เราลูกค้าติดต่ออะไรมา เราไปบอกพ่อ พ่อก็จะถามคำแรกเลยว่าของดีจริงไหม สำคัญมาก ของไม่ดี พ่อไม่สามารถ เพราะคนเชื่อพ่อเยอะ เขาจะสอนเรื่องจรรยาบรรณเยอะมาก”


“แต่คุณพ่อจะไม่ได้สอนเรื่องในวงการเยอะ เพราะแม่จะดูแลราอย่างใกล้ชิด แต่ขวัญติดต่อกับพ่อ ท่านก็จะพูดว่า อย่างติดต่องานไปให้ท่านก็จะเน้นต้องลองใช้ก่อน ต้องดีจริง ๆ เราต้องมีจรรยาบรรณ พ่อเป็นศิลปินแห่งชาติคือพ่อเน้นเรื่องคุณธรรม ความมีวินัย ความรักและให้เกียรติอาชีพมาก ๆ มีเรื่องนึงที่คุณพ่อช่วยขวัญเยอะมาก คือเรื่องที่เขาเล่นเป็นผู้ทรงศีล เขาจะบอกเราเลยว่าอันนี้ไม่ใช่ พ่อพูดแบบนี้ เราจะแล้วแต่คุณพ่อเลย ก็จะช่วยเราหลายเรื่อง ส่วนการเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง เด็ก ๆ เราก็คิดว่าต้องไม่ทำให้พ่อแม่ต้องเสียชื่อ เพราะเวลาเราทำอะไรที่ดีหรือไม่ดี เขาจะไม่พูดชื่อเรา จะพูดว่าลูกคนนี้ทำแบบนี้ จะพูดชื่อพ่อแม่ ซึ่งเรียกว่าเป็นหน้าที่ ไม่ได้เรียกว่ากดดัน เพราไม่ได้รู้สึกฝืนที่ต้องเป็นเด็กดี เพราะคุณพ่อคุณแม่ทุกคนไม่เคยมาบอก แต่ทุกคนตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเอง เพราะฉะนั้นเราเลยรู้สึกว่าเราต้องทำหน้าที่ของเราเหมือนกัน เลยไม่ได้รู้สึกยากหรือกดดัน รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ พ่อแม่เราก็ทำเป็นปกติ”

“แน่นอนว่ารู้สึกภูมิใจมากที่ได้เกิดเป็นลูกคุณพ่อและคุณแม่ ท่านได้ทำหน้าที่ของตัวเองทั้งในฐานะพ่อเป็นแม่เราและในฐานะคนของประชาชน เป็นตัวอย่างให้เราได้อย่างดี เวลาทำงานกับพ่อแม่ เราจะรู้เลยว่าเราได้ความตั้งใจมาจากแม่ เราได้เรื่องนี้มาจากพ่อ เราจะรู้และยิ่งภูมิใจ จริง ๆ ภูมิใจอยู่แล้ว และดีใจที่คุณพ่อเองก็ภูมิใจในตัวเรา เมื่อวานตอนคุณพ่อเสีย น้าดี๋ก็มาพูดว่าคุณภูมิใจในตัวหนูมาก บางทีมันไม่ใช่เรื่องที่มาพูดกัน แต่เรารู้ว่าพ่อภูมิใจ เพราะขวัญก็พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด พ่อเองก็รู้ว่าเราก็ภูมิใจที่เป็นลูกท่าน อย่างไรก็ตามขวัญเผยอีกว่า ตอนนี้ไม่เหลืองานแสดงของคุณพ่อที่ค้างไว้แล้ว เพราะพักหลังคุณพ่อไม่ได้รับงานไว้แล้ว เริ่มจำบทไม่ได้ ตั้งแต่ช่วงป่วยแรก ๆ อย่างตอนที่อยู่ในกองแม่อายสะอื้น ยังไม่ได้ป่วยมาก ที่พบฟองในปอด ก็รักษาตามอาการปกติ ไม่ได้คิดว่าจะอะไร พ่อก็ถ่ายทำปกติ”


ด้าน โย-ทัศน์วรรณ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา อดีตภรรยา เปิดเผยว่า “ส่วนตัวตนไม่ได้ไปเยี่ยมเลย เพราะถ่ายละครเกือบทุกวันเลย ก็มีนัดกับคุณยายชั้น ว่าให้มาอยู่ที่บ้าน เพื่อที่ว่าไป รพ. จะได้ใกล้ขึ้น ไม่อย่างนั้นอยู่อยุธยาแล้วกว่าจะมา ก็นัดแล้วว่าจะไปรับตอนเช้าของอีกวัน เพราะว่าต้องไปทำ RT PCR ที่ตึกแกรมมี่ก่อน แล้วจะตีรถไปรับก้ไม่ทันถึงวัน ก็เสียไปตอนบ่าย พอรู้เรื่องก็โทรฯ​ ถามคุณยายว่าอยากมาเลยไหม ยายบอกอยากมาเลย ก็ตีรถไปรับตอนมืด มาอยู่ที่บ้าน พี่ชั้นเป็นผู้หญิงคนเดียวในพี่น้อง และรับรู้สูญเสียมาตลอด ทั้งพ่อแม่ พี่ชายและนี่มาน้องชายอีกแล้ว และเขาเพิ่งผ่าตัดหัวใจไปเมื่อไม่นาน เราก็เป็นห่วงกลัวไม่ไหว กลัวเป็นลม มานี่ต้องคอยถามตลอดเวลาว่าไหวไหม วินาทีที่เขาแบกโลงเข้ามาก็รู้สึกจะแย่ก่อน ต้องคอยเตรียมยา ให้ทานง่าย ๆ ตอนที่เอาร่างขึ้นมาก็ถามพี่ชั้นว่าอยากเห็นไหม แกก็พยักหน้า เราต้องคอยหันไปถามว่าไหวไหม รู้สึกเข้าใจมาก เพราะพี่ชั้นเป็นคนรักครอบครัวมาก ก่อนหน้านี้ตนก็เดินทางไปหาพี่ชั้นบ่อย ๆ ติดต่อกันตลอด”

“ในเรื่องการทำงานว่า อย่างบทที่เขียนเกี่ยวกับธรรมะ ถ้าเขียนมาผิดเขาจะแก้หมดเลย ส่วนงานของเอกที่ค้างตอนนี้มี่แล้ว เพราะไม่ได้รับ พักหลังจำบทไม่ได้ เริ่มมีสัญญาณของอาการ ตอนถ่ายแม่อายสะอื้น ที่พบฟองในปอด ก็ไปเจาะปอด เขาบอกว่ามีฟอง ก็ไม่คิดว่าจะเป็นขนาดนี้”