กลายเป็นปรากฎการณ์สร้างภาพหวานชื่นกันแบบถี่ยิบ เริ่มตั้งแต่ภาพปรองดองของ “พี่น้อง 3 ป.” ตั้งโต๊ะกินข้าวเที่ยงร่วมกัน ด้วยเมนู กุ้งผัดกระเทียม ประสานใจ ฝีมือ “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ทำเสริฟ 2 น้องเลิฟ ทั้ง “น้องป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และ “น้องตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เพิ่มความหวานสานความสัมพันธ์ หลังจากมีปัญหา “ขบเหลี่ยม” วงจรอำนาจ จนมีข่าวหลายกระแสว่าร้าวลึกถึงขั้นต้องแยกทางกันเดิน

นอกจากนั้นยังสร้างภาพหวานต่อเนื่อง ด้วยการแสดงความกลมเกลียวของพรรคร่วมรัฐบาล กับภาพมีตติ้งดินเนอร์ ร่วมวงทานอาหารระหว่าง “พี่น้อง 3 ป.” และแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลจาก พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ และพรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อกลบกระแสรอยร้าว สร้างความมั่นใจในการจับมือตั้งรับ “ศึกซักฟอก” ที่กำลังจะมาถึงเร็ว ๆ นี้

งานนี้พรรคร่วมรัฐบาลมีการการันตีความสัมพันธ์แนบแน่น ว่าจะจับมือกันอยู่ยาวจนครบเทอม พาเรือเหล็กไปต่อจนสุดปลายทางอำนาจ ที่จะสิ้นสุดลงในช่วงเดือน มี.ค.2566 โดยมีการเช็คเสียงสนับสนุนรัฐบาลกันเรียบร้อย รวมทั้งเสียงจาก พรรคเศรษฐกิจไทย ซึ่ง“บิ๊กป้อม” ยืดอกยืนยันว่ามั่นใจ 150% ว่าเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคเศรษฐกิจไทย จะสนับสนุนรัฐบาลในการอภิปรายไม่ไว้ ยกเว้น “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา ที่ส่อแววแหกคีย์ ด้วยศักดิ์ศรีทางการเมืองค้ำคอ จนอาจจะไม่ยกมือสนับสนุนเพียงเสียงเดียว

จากสิ่งที่เกิดขึ้น คนที่ออกอาการแฮปปี้สุดๆ หนีไม่พ้น “บิ๊กตู่” ที่หันมาชูสัญลักษณ์ไอเลิฟยูให้ผู้สื่อข่าวหลังร่วมวงมีตติ้งดินเนอร์ ก่อนจะโอบกอด “บิ๊กป้อม” กันแบบชื่นมื่น แต่ก็ยังชะล่าใจไม่ได้ เพราะล่าสุด “ผู้กองธรรมนัส” ก็ได้นัดมีตติ้งพรรคเล็ก กินข้าวกลางวันกระชับความสัมพันธ์ เช็คเสียงพรรคเล็ก พร้อมยืนยันว่า ตนกับ ส.ส. พรรคเล็กรักกันมานาน ไม่ได้พึ่งมาสร้างภาพว่ารักกัน และอย่าลืมว่า ตนเป็นคนชวนพรรคเล็กมาร่วมรัฐบาล

ดังนั้นก็จะต้องรอดูกันต่อไปว่าการเดินเกมรุกกระชับความสัมพันธ์ ของฝ่าย “พี่น้อง 3ป.” และฝ่าย “ผู้กองธรรมนัส” ท้ายที่สุดแล้วจะส่งผลทางการเมืองในอนาคตอย่างไร

ทั้งนี้หากดูจากบริบทโดยรวมของ “องคาพยพรัฐบาล” แล้ว ก็คงกลายเป็นเรื่องการบริหารจัดการอำนาจที่ลงตัวเหมาะเจาะ เนื่องจากพรรคร่วมรัฐบาลเองก็ยังไม่พร้อมที่จะลงสนามเลือกตั้งในเร็ววัน ดังนั้นการกอดคอกันเพื่ออยู่ในอำนาจกันต่อคงเป็นทางเลือกที่ทุกฝ่ายยากจะปฏิเสธ

แต่แรงเสียดทานที่รอรัฐบาลอยู่เบื้องหน้า ไม่ใช่เรื่องที่จะฟันฝ่าฟันไปได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะเกมการเมืองในสภา ที่รัฐบาลจะต้องเผชิญ 2 โจทย์ใหญ่ ทั้งการผลักดันร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 และศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ดังนั้นแม้เสียงสนับสนุนที่พรรคร่วมรัฐบาลมั่นใจว่ามีไว้ในมือเพียงพอจะโหวตผ่านในสภาไปได้นั้น ถึงเวลาคาบลูกคาบดอกก็อาจจะพลิกผันสร้างความหวาดเสียวได้ ถ้ามีการแจกกล้วยกันแบบอิ่มหมีพีมัน

เกมอำนาจครั้งนี้ในวงมีตติ้งพรรคร่วมรัฐบาลระบุชัดเจนว่ากรณีการบริหารราชการแผ่นดิน และการแก้ปัญหาต่าง ๆ ไม่น่าเป็นห่วง แต่ห่วงที่เกมการเมืองที่ไม่สามารถคุมเกมได้ และยิ่งในเวลานี้เป็นช่วงที่ “โทนี่ วู๊ดซัม” ทักษิณ ชินวัตร กำลังเคลื่อนไหวออกอาละวาดถี่ยิ่งขึ้น ทั้งการคอมเม้นท์การเมืองและการเดินทางเฉียดเข้าใกล้ประเทศไทย ล่าสุดมีการเดินทางมาที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อตรวจสุขภาพประจำปี และมี ส.ส.หลายคนเดินทางไปพบ ซึ่งจากสิ่งที่เกิดขึ้นก็ยิ่งทำให้เห็นได้ชัดว่า โมเมนตัมอำนาจในการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ได้อยู่ในมือของ “พี่น้อง 3 ป.” เหมือนอย่างที่ผ่านมาแล้ว

ดังนั้น “ศึกซักฟอก” ที่กำลังจะเปิดฉากขึ้นเร็ว ๆ นี้ จึงถือเป็นด่านสำคัญที่รัฐบาลจะย่ามใจไม่ได้ เพราะเป็นการซักฟอกครั้งสุดท้าย ที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน ต่างเตรียมทำการบ้านหาข้อมูลอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในสภา เพื่อเรียกคะแนนนิยมจากประชาชน กักตุนเป็นเสบียงสำคัญก่อน “คิกออฟ” สู่สนามเลือกตั้งครั้งต่อไป

งานนี้ถ้าฝ่ายค้านมีไม้เด็ดฟาดรัฐบาลได้กลางสภา ประกอบกับพรรคร่วมรัฐบาลบริหารจัดการผลประโยชน์กันไม่ลงตัว โอกาสที่ “เรือเหล็กปะผุ” จะอับปางก่อนถึงฝั่งฝันก็เป็นไปได้สูง เพราะยังมีรอยร้าวที่ยังคงกินแหนงแคลงใจ ยังตกลงกันไม่ได้ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งประเด็นการต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ยังคาราคาซังอยู่ และรอยแผลเก่าจากศึกเลือกตั้งซ่อมชุมพร-สงขลา ที่พรรคร่วมรัฐบาลมีการส่งผู้สมัครลงแข่งกันเอง ไม่สนใจมารยาททางการเมือง ที่ยังคงสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจกันมาจนถึงทุกวันนี้

นอกจากนี้ยังมี “งานหิน” ที่รัฐบาลต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งการแก้ปัญหาปากท้อง ที่กำลังรุมสกัมคนไทยทั้งประเทศเป็นพัลวัน จนแทบเรียกได้ว่าเป็นห้วงเวลามหาวิปโยค หลังจากคนไทยต้องเจอกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ครั้งใหญ่ซัดมาหลายระรอก ทำเอาคนไทยยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ ก็ต้องมาเจอกับสถานการณ์แพร่ระบาดครั้งใหญ่อีกครั้งซ้ำเติมเข้าไปอีก ขณะที่แนวทางการรับมือของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กลับสวนทางความรู้สึกของคนในสังคมด้วยการเตรียมประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นในเดือน ก.ค.นี้ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งยอดผู้ติดเชื้อและยอดผู้เสียชีวิตที่ไต่ระดับเพิ่มขึ้นกันเป็นรายวัน

ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องก็ปะทุขึ้นเป็นรายวัน เนื่องจากรัฐบาลตกยู่ในสภาวะ “ถังแตก” หนี้สาธารณะท่วมคอ โดยตัวเลขหนี้สาธารณะของประเทศล่าสุดอยู่ที่ 9,734,419.89 ล้านบาท และยังมีความเสี่ยงที่อาจจะต้องกู้เงินเพิ่ม ซึ่งจะเป็นการสร้างภาระให้กับคนไทยทั้งประเทศ และยิ่งซ้ำเติมด้วยผลกระทบจากสงครามยูเครน-รัสเซีย ที่เริ่มสร้างความเดือดร้อนให้คนใช้รถใช้ถนนที่ต้องแบกรับภาระค่าน้ำมันที่พาเรทปรับขึ้นราคากันอย่างต่อเนื่อง จนใกล้จะแตะ 2 ลิตรร้อยไปทุกขณะ โดยที่ประชาชนได้แต่มองตาปริบ ๆ

ตอนนี้นอกจาก “รัฐบาลเรือเหล็ก” จะอยู่ในสภาพอ่อนแอ แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันที่รัฐบาลควรต้องคำนึงถึง ก็คือประชาชนตาดำๆ ทั้งประเทศ ที่ตกอยู่ในสภาพที่สาหัสยิ่งกว่า ทั้งปัญหาเงินขาดมือ รายได้ลดรายจ่ายเพิ่มจากปัญหาเศรษฐกิจ ท้องกิ่วหิวโหยจากปัญหาข้าวยากหมากแพง ครั้นจะหันหน้าไปฝากความหวังพึ่งพิงรัฐบาล นอกจากจะไม่มั่นใจว่าจะแก้ปัญหาให้ได้ แล้วยังต้องมาคอยเป็นกังวลว่าจะเป็นเหตุให้นำไปสู่การกู้เงินเพิ่มมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยที่โยนภาระหนี้ให้ประชาชนในอนาคต

ดังนั้นหากจะว่ากันตามตรง บางทีในช่วงเวลาที่เหลือเป็นปีสุดท้ายของรัฐบาล โจทย์ที่ “บิ๊กตู่”  ต้องตีให้แตก ก็คือการบริหารประเทศบนความสมดุลทั้งการใช้เงินและการหาเงินเข้าประเทศ ดังนั้นการบ้านใหญ่ของ “บิ๊กตู่” และรัฐบาล หลังจากนี้ก็คือการหาวิธีการที่จะหาเงินเข้าประเทศได้อย่างไร ซึ่งจะเป็นการทำงานที่ตอบโจทย์ความต้องการประชาชนได้มากที่สุด และอาจจะเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ในการเรียกคะแนนศรัทธาจากประชาชน ให้เพียงพอที่จะเดินบนเส้นทางอำนาจต่อหลังการเลือกตั้ง.