เมื่อวันที่ 15 มี.ค. นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าและราคาปุ๋ยอย่างใกล้ชิด ส่วนกรณีที่สมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย มีหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์เพื่อขอปรับราคาขายปุ๋ยเคมี โดยอ้างถึงปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้ต้นทุนนำเข้าปุ๋ยปรับสูงขึ้น เช่น ราคาน้ำมัน ค่าขนส่ง และสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ที่เป็นอุปสรรคต่อการนำเข้าปุ๋ยจากต่างประเทศนั้น นายจุรินทร์ให้ประเมินข้อมูลต้นทุนและราคาก่อนและให้ประเมินมาอย่างต่อเนื่องรวมทั้งประสานงานกับทุกกระทรวงและฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ข้อสั่งการนี้ดำเนินมาทุกระยะไม่เฉพาะมีเหตุแห่งสถานการณ์วิกฤตินี้เท่านั้น เนื่องจากระยะ 2 ปีที่ผ่านมา เรามีโครงการปุ๋ยลดราคาเพื่อเกษตรกรและให้เป็นแนวความร่วมมือระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการและสมาคม

นางมัลลิกา กล่าวอีกว่า การอนุญาตให้ปรับราคาจำหน่ายปุ๋ยหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาเป็นรายกรณี โดยคำนึงถึงต้นทุนวัตถุดิบปุ๋ยในตลาดโลกที่สูงขึ้น ผลกระทบกับเกษตร ควบคู่กับแนวทางเยียวยาผลกระทบ ดังนั้นการแก้ปัญหาจะไม่ใช่แค่ลำพังกระทรวงพาณิชย์ โดยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ คงต้องหารือกับสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ส่วนงบชดเชยนั้น ภาวะวิกฤติต้องขอใช้งบกลาง แต่สำนักงบประมาณบอกว่าไม่ใช่หน้าที่กระทรวงพาณิชย์ ทั้งที่นายกรัฐมนตรีสั่งการกระทรวงพาณิชย์ เราจึงประสานให้กระทรวงเกษตรฯ เสนอตามข้อแนะนำสำนักงบประมาณ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ เสนอแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการอำนวยการจากสำนักงบประมาณ และเมื่อพิจารณาใช้งบประมาณจากเงินกู้ ก็ติดขัดความเห็นของ สศช.ที่แย้งว่าการขอใช้เงินชดเชยให้เกษตรกรที่ซื้อปุ๋ยนั้นไม่ตรงกับจุดประสงค์ของการใช้งบประมาณ ดังนั้นเรื่องนี้คงต้องหาทางออกให้เกษตรกรและทุกฝ่าย ซึ่งนายจุรินทร์จะได้รายงานนายกรัฐมนตรีให้รับทราบต่อไป
ที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า รัฐบาลจะต้องช่วยวิกฤติตรงนี้แก้ให้ตรงจุด และดูจากข้อเท็จจริงต้นทุนราคา แต่ก่อนหน้านี้คือตอนที่ไม่มีวิกฤติรัสเซีย-ยูเครน เราช่วยเกษตรกรมาตลอดด้วยการลดราคาปุ๋ย ซึ่งได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการสมาคมและทุกฝ่ายมา 2 ปี โดยไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดิน แต่เมื่อเดินหน้าในปีที่ 3 กลับเกิดวิกฤติรัสเซีย-ยูเครนเข้ามาซ้ำเติม โดยกระทรวงพาณิชย์อยู่ปลายน้ำ คือ สถานการณ์ราคา อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็ต้องสะท้อนให้นายกรัฐมนตรีรับทราบและบูรณาการในหน่วยงานที่สังกัดกระทรวงการคลังและสำนักนายกรัฐมนตรีด้วย

นางมัลลิกา กล่าวว่า จากสถิติ ไทยนำเข้าปุ๋ยเรานำเข้าจากจีนมากที่สุด ร้อยละ 22.5 ซาอุดีอาระเบีย ร้อยละ 14.6 มาเลเซีย ร้อยละ 8.8 และรัสเซีย ลำดับที่ 4 ร้อยละ 7.7 ตอนนี้รัฐบาลรัสเซียและกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศรายงานสถานการณ์โลกรายวัน ซึ่งเราต้องนำมาใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจร่วมทุกฝ่าย