เมื่อวันที่ 16 มี.ค. ที่รัฐสภา นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ส่งสัญญาณเรื่องนายกรัฐมนตรีเตรียมยุบสภา หลังประชุมเอเปคเดือน พ.ย. เพื่อเลือกตั้งช่วงต้นปี 2566 ว่าการยุบสภาเป็นอำนาจนายกรัฐมนตรี พร้อมประเมินตัวแปรสำคัญอยู่ที่พรรคเล็ก หากฝ่ายรัฐบาลเจรจาต่อรองสำเร็จ การยุบสภาจะไม่เกิดขึ้น ส่วนประเด็นที่บอกยุบสภาหลังประชุมเอเปคเดือน พ.ย. 65 ส่วนตัวมองว่าไม่มีความหมาย เพราะรัฐบาลมีกำหนดครบวาระ 4 ปี เดือน มี.ค. 66 ซึ่งการรอให้ครบวาระกลายเป็นข้อจำกัดทางการเมืองมากกว่า เพราะเมื่อครบวาระ ส.ส. ต้องสังกัดพรรคการเมืองอย่างน้อย 90 วันก่อนวันเลือกตั้ง ทำให้การขยับตัวทางการเมืองของ ส.ส. เป็นไปด้วยความยากลำบาก

“การตัดสินใจยุบสภาก่อนครบวาระนั้น ทำให้การนับความเป็นสมาชิกภาพของ ส.ส. ที่ต้องสังกัดพรรคการเมืองนับเพียงแค่ 30 วันก่อนการเลือกตั้ง ผมคิดว่านี่เป็นเทคนิคทางการเมืองที่ฝ่ายรัฐบาลต้องตัดสินใจยุบสภาก่อนครบวาระ เพื่อทำให้เขามีโอกาสทางการเมือง พรรคการเมืองที่เป็นพรรคใหม่ต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นมา มีโอกาสรองรับสมาชิกพรรคเดิมที่รู้สึกว่าไม่สามารถใช้เป็นหนทางที่จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง การบอกว่ายุบสภาเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนนั้น ผมว่าไร้สาระ เพราะไม่ได้เป็นของขวัญ แต่เป็นเทคนิคทางการเมืองเท่านั้น ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่หรือน่าสนใจอะไร” นายสมชัย กล่าว

เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตร ออกมาพูดเรื่องยุบสภา เป็นการหยั่งกระแสฝ่ายการเมืองยืดอายุรัฐบาลไปถึงปลายปีหรือไม่ นายสมชัยกล่าวว่า รัฐบาลทุกชุดปรารถนาอยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุด ตนคิดว่าขณะนี้ทุกฝ่ายได้เตรียมพร้อมเลือกตั้งอยู่แล้ว พรรคการเมืองทุกพรรคไม่กลัวการยุบสภา มีการไปสรรหาตัวผู้สมัคร และเตรียมโครงสร้างของพรรคในระดับพื้นที่พร้อมเลือกตั้ง หากสถานการณ์จำเป็นต้องยุบสภา และมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ทุกพรรคก็พร้อมเข้าสู่การเลือกตั้ง

เมื่อถามว่า ตอนนี้ฝ่ายค้านจับตาวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ มองว่าหากยุบสภาหลังการประชุมเอเปค จะเป็นการดำรงตำแหน่งเกิน 8 ปี นายสมชัย กล่าวว่า ประเด็นนี้ต้องคุยกัน และกลายเป็นประเด็นที่อาจบานปลายประเด็นหนึ่งที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงเดือน ส.ค. แต่ทั้งนี้ ตนมองว่าการยุบสภาจะไม่เกี่ยวกับเรื่องวาระการดำรงตำแหน่ง แต่เป็นเรื่องที่นายกฯไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ภายใต้จำนวน ส.ส.ที่มีในสภามากกว่า.