เมื่อวันที่ 19 มี.ค. เวลา 10.00 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวเรื่องความไม่โปร่งใสในการประมูลท่อส่งน้ำในพื้นที่อีอีซี ของกรมธนารักษ์ 3 เส้นหลัก คือ โครงการท่อส่งน้ำดอกกาย โครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ และโครงการท่อส่งน้ำหนองค้อ-แหลมฉบัง ระยะที่ 2 นั้น ว่าบริษัทที่ชนะการรประมูลครั้งนี้คือบริษัทวงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด เสนอผลประโยชน์ให้กับรัฐทั้งค่าแรกเข้าเพื่อทำสัญญา และส่วนแบ่งรายได้รวม 25,693 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าบริษัทอีสต์วอเตอร์ ที่เสนอให้ 24,213 ล้านบาท

ทั้งนี้ความน่าเชื่อถือของบริษัทอีสต์วอเตอร์ เป็นบริษัทกึ่งของรัฐ การประปา การนิคมอุตสาหกรรม ถือหุ้นรวมกันกว่า 46 % ส่วนบริษัทวงษ์สยามกลับเป็นเพียงอาคารเล็กๆ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ 3 ป. และ 1 ช. ที่มีความเกี่ยวโยงกัน โดย ช. ก็คือนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการที่ราชพัสดุ ส่วนคนที่ดูและเรื่องน้ำทั้งหมดคือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานอีอีซี ส่วน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กำกับดูแล การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) และในการประชุมคณะกรรมการที่ราชพัสดุ มีมติเห็นชอบในเรื่องดงักล่าว 6 : 3 เสียง ส่วนกรรมการอีก 3 คนลาประชุม ทำให้มติไม่เป็นเอกฉันท์

นอกจากนั้นยังพบว่าในการยื่นประมูลโครงการขยายโรงงานผลิตน้ำมหาสวัสดิ์ ของการประปานครหลวง ที่มูลค่าโครงการเพียง 6,400 ล้านบาทนั้น บริษัทวงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ยังไม่ผ่านคุณสมบัติเลย แต่กลับชนะโครงการท่อส่งน้ำในพื้นที่อีอีซี ที่มีมูลค่ากว่า 150,000 ล้านบาท

นายยุทธพงศ์ กล่าวอีกว่าดังนั้นวันที่ 23 มี.ค.นี้ ตนจะเดินทางไปพบนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เพื่อยื่นหนังสือให้เรื่องที่ชี้ให้เห็นถึงความไม่โปร่งใสของการประมูลโครงการดังกล่าว ตั้งแต่การประมูลครั้งแรกที่ บริษัทอีสต์วอเตอร์ชนะ ก็มีการยกเลิกการประมูล มีการเปลี่ยนทีโออาร์ทำให้รัฐเสียประโยชน์ อาทิ ตัดข้อกำหนดที่ว่าบริษัทจะต้องไม่เคยเป็นผู้ทิ้งงานออก ลดทุนจดทะเบียนบริษัทที่จะเข้าร่วมประมูลจาก 600 ล้านบาท เหลือ 300 ล้านบาท เปลี่ยนคุณสมบัติสำคัญที่เคยกำหนดให้ต้องเป็นนิติบุคคลที่มีอาชีพและประสบการณ์ในการประกอบธุรกิจเรื่องท่อส่งน้ำออก ทั้งที่เป็นสาระสำคัญในการดำเนินโครงการ จนสุดท้ายทำให้บริษัทวงษ์สยามชนะการประมูล เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่านายยุทธพงศ์พร้อมด้วยนายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ส.ส.นนทบุรี ยังแถลงข่าวเกี่ยวกับงบประมาณปี 65 ที่กองทัพเรือตั้งงบประมาณในการซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ จะถูกตัดไปแล้ว 22,500 ล้านบาท แต่ในงบส่วนนั้นยังมีงบจัดซื้ออากาศยานไร้คนขับ (UAV) มูลค่า 4,100 ล้านบาท ซึ่งในระหว่างที่มีการพิจารณางบประมาณปี 65 ตนได้ออกมาคัดค้านการจัดซื้อ UAV ดังกล่าว ซึ่งในระหว่างการพิจารณางบประมาณ กองทัพเรือได้ให้ใบเสนอราคามา พบว่าตอนแรกจะซื้อ UAV ของจีน จากบริษัท CATIC แต่วันนี้ถอยแล้ว เพราะไม่กล้า หลังจากซื้อเรือดำน้ำแล้วไม่มีเครื่อง จนมีการเปลี่ยนไปเอา UAV จากอิสราเอลแทน แต่กลับเป็นกลุ่มบริษัทเดียวกันกับที่ขายเรือดำน้ำให้ไทย แต่ UAV ดังกล่าวกลับไม่เคยมีกองทัพเรือประเทศใดใช้ และมีข่าวเรื่องปัญหาเครื่องยนต์จนทำให้เครื่องตก

“วันนี้จึงอยากเรียน พล.ร.อ.สมประสงค์ นิลสมัย ผบ.ทร.ไปตรวจสอบดูการจัดซื้อเรื่องดังกล่าว อย่าเอา UAV ที่มีปัญหามาใช้ ซึ่งจะซ้ำรอยเรื่องเรือดำน้ำจีน ดังนั้นหากกองทัพเรือจะเดินหน้าต่อต้องตรวจสอบ เพราะเอางบประมาณไปตั้งเยอะ ทำไมไม่ซื้อของดี เพราะกลุ่มที่ขาย UAV เป็นกลุ่มเดียวกันกับกลุ่มที่ขายเรือดำน้ำ หากยังไม่หยุด ตนจะออกมาแฉชื่อบริษัท” นายยุทธพงศ์ กล่าว