เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวถึงกรณีการติดเชื้อโควิด-19 สูง และยอดเสียชีวิตสูงขึ้นว่า ข้อสังเกตคือผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของไทยทรงตัวที่ 2 หมื่นรายต่อเนื่องมาราว 2-3 สัปดาห์ ฉะนั้นข้อที่ไม่ทำให้กังวลมากเกินไปคือ ตัวเลขติดเชื้อไม่พุ่งสูงมาก หากเปรียบเทียบการระบาดโอมิครอน เช่น อเมริกา ยุโรป เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ที่ติดเชื้อสูงมาก แต่ไทยไม่ขึ้นสูงขนาดนั้น เพราะมีมาตรการและประชาชนให้ความร่วมมืออย่างดี เพื่อชะลอการระบาดให้มากที่สุด ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่ 90 เปอร์เซ็นต์

จะมีอาการน้อยอีก 10% จะมีอาการหนัก และในจำนวนนี้มีส่วนหนึ่งที่เสียชีวิตซึ่งต้องพยายามลดตัวเลขการเสียชีวิตให้ต่ำที่สุด จากการวิเคราะห์พบว่า ส่วนใหญ่เป็นผู้อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป คนมีโรคประจำตัว ส่วนหญิงตั้งครรภ์ระยะหลังเสียชีวิตลดลงในระลอกโอมิครอน ปัจจัยสำคัญพบว่า ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ไม่ได้รับหรือได้รับวัคซีนเพียง 2 เข็ม ทั้งนี้ คนที่รับวัคซีน 3 เข็มขึ้นไป โอกาสเสียชีวิตมีน้อยกว่ามาก ข้อมูลปัจจุบันผู้ที่รับวัคซีนครบ โอกาสเสียชีวิตน้อยกว่าไม่ได้รับถึง 6 เท่า แต่คนที่รับ 3 เข็มแล้ว โอกาสเสียชีวิตจะลดลงถึง 41 เท่า

นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า ทาง สธ.จึงมีแนวทางลดอัตราการเสียชีวิตจากโควิด เนื่องจากระยะหลังพบว่าผู้เสียชีวิตสอดคล้องกับผู้ที่เป็นไตวายเรื้อรัง ที่ฟอกไต ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ผู้ป่วยติดเตียง แม้ว่ากลุ่มนี้รับวัคซีนแต่ภูมิคุ้มกันขึ้นไม่ค่อยดี ต้องเร่งฉีดกระตุ้น และ ขณะนี้ สธ.ได้หายาใหม่ที่มีผลวิจัยว่า ช่วยผู้ป่วยอาการดีขึ้น เช่น แพกซ์โลวิด โมลนูพิราเวียร์ ร่วมถึงความร่วมมือผู้ผลิตยาอื่นๆ ด้วย

“หลักการคือผู้ติดป่วยมาก ผู้เสียชีวิตก็เพิ่มขึ้น ดังนั้นเราต้องช่วยกันลดผู้ป่วยให้มากที่สุด โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ที่มีการเดินทาง มีการพบปะ กิจกรรมร่วมกัน เช่น งานเลี้ยง งานทางศาสนา ในการระบาดโอมิครอน เราพบว่าโอกาสที่ 1 คนติดเชื้อแล้วนำเชื้อไปติดคนในบ้านทั้งเด็กและผู้สูงอายุมากกว่าเดลต้า ดังนั้น ช่วงสงกรานต์ก็ขอให้ลดความเสี่ยงแพร่เชื้อในบ้าน ด้วย 1.ฉีดวัคซีนคนในบ้าน 2.ผู้สูงอายุรับขับกระตุ้นเข็ม 3 และ 4 เป็นต้น”

เมื่อถามว่า การคาดการณ์ตัวเลขผู้เสียชีวิตในระยะนี้ นพ.โอภาส กล่าวว่าหากดูจากประสบการณ์จากยุโรป อเมริกาใต้ และเกาหลีใต้ พบว่า ตัวเลขพุ่งสูงมากใน 1-2 เดือนแล้วลดลง แต่หากชะลอการระบาดจะทอดเวลายาวออกไป แต่เราไม่เลือกให้ตัวเลขพุ่งสูง เพราะจะส่งผลต่อระบบสาธารณสุขที่รองรับไม่ไหว จะมีผู้เสียชีวิตมาก เช่น ฮ่องกงที่ขณะนี้ติดเชื้อพุ่งสูง และมีการเสียชีวิตมาก จนคนกลัวสายพันธุ์โอมิครอน BA.2.2 แต่ในหลักการแล้ว การเสียชีวิตมากเกิดจากคนติดเชื้อมากแล้วระบบสาธารณสุขรองรับไม่ไหว

“ระยะที่ผ่านมา ไทยเรายันได้ดี ไม่เกิดสถานการณ์อย่างหลายประเทศ หากถามว่าคาดการณ์อย่างไร คือต้องพยายามให้อัตราติดเชื้อน้อยที่สุด ให้ต่ำกว่า 0.1 หรือ 0.2% ให้ได้ ซึ่งในขณะนี้เราอยู่ที่อัตรา 0.22% เชื่อว่า หากเราเร่งฉีดวัคซีนในช่วงสงกรานต์ได้ ก็จะช่วยลดอัตราเสียชีวิตได้ รวมถึงตามที่เรามียาใหม่เข้ามาก็จะช่วยได้ในอนาคต”

เมื่อถามว่า ตัวเลขเสียชีวิตที่สูงเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อแผนการปรับโควิดเป็นโรคประจำถิ่นอย่างไร นพ.โอภาส กล่าวว่า แผนการปรับเป็นโรคประจำถิ่น ที่ สธ.เสนอต่อ ศบค.ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเห็นชอบ คือ อย่างช้าที่สุดคือวันที่ 1 ก.ค.65 มีเวลาอีก 2-3 เดือน ในการเตรียมความพร้อม ดังนั้น ช่วงนี้เราต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น จัดหายาใหม่ๆ เพื่อปรับแนวทางการรักษา และให้ประชาชนเข้าใจในระบบการดูแล

“อย่างนโยบาย เจอแจกจบ ที่ใช้ในกลุ่มผู้รับวัคซีนครบ ร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว พบว่าเป็นผลดี ประชาชนหลายคนเห็นด้วย รับยาแล้วดูแลตนเองได้ ซึ่งตามข้อมูลจ่ายยา 3 สูตร พบว่า ไม่มีอาการ ไม่ต้องรับยาถึง 50% ใช้ยาฟ้าทะลายโจร 25% และใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ 25% ส่วนผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง 608 เราจะจัดให้กลุ่มสีเหลือง เพื่อรักษาอีกแบบหนึ่ง ขณะนี้ เราจึงมีวิธีการรักษาที่เหมาะกับสถานการณ์กับประชาชน” นพ.โอภาส กล่าว