ค่าเอฟที หรือมีชื่อเรียกเต็มว่า ค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ เป็นสูตรการปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้น หรือลดลง ตามการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง, อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ที่มีผลต่อราคาเชื้อเพลิงที่ใช้อ้างอิง เช่น ราคาก๊าซธรรมชาติ การนำเข้าเชื้อเพลิงทั้งก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดีเซล ราคาน้ำมันเตา หากค่าเงินบาทยิ่งอ่อน ยิ่งกระทบกับค่าซื้อไฟฟ้าราคาสูงขึ้น, ประมาณการปริมาณการใช้ไฟฟ้าล่วงหน้า ขึ้นอยู่กับสถิติการใช้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ และฤดูกาล และค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นต้นทุนที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของการไฟฟ้า

การปรับค่าเอฟทีจะมีการพิจารณาทุก 4 เดือน เพื่อเป็นการสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของต้นทุนค่าเชื้อเพลิง ที่เปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่างๆ เช่น หากคาดการณ์คำนวณอัตราค่าไฟฟ้าราคาเชื้อเพลิงไว้สูง แต่ 4 เดือนต่อมาราคาค่าเชื้อเพลิงปรับตัวลดลง หากไม่มีค่าเอฟที มาเป็นสะท้อนต้นทุนที่ลดลงนั้น ประชาชน อาจเสียประโยชน์เพราะต้องจ่าย ค่าไฟฟ้าแพง

แต่ถ้าการคาดการณ์ค่าเชื้อเพลิงไว้ต่ำเกินไป และต่อมาราคาค่าเชื้อเพลิงปรับขึ้น ถ้าไม่มีค่าเอฟทีมาช่วย ก็อาจกระทบต่อรายได้ของการไฟฟ้า และการลงทุนเพื่อพัฒนา การผลิตไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการในอนาคตและความมั่นคงทางไฟฟ้าของประเทศ  เท่ากับว่า เป็นการให้ความธรรมทั้งฝ่ายผลิต และผู้ใช้ไฟฟ้า

นอกจากนี้ ค่าเอฟที ถือเป็นส่วนเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของโครงสร้าง อัตราค่าไฟฟ้า ที่สำนักงานกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ใช้คิดคำนวณตามสูตร เพื่อเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้า ที่ประกอบไปด้วย ค่าไฟฟ้าฐาน (คงที่ 3.76 บาทต่อหน่วย) + ค่าเอฟที  (เปลี่ยนแปลงทุก 4 เดือน) + ภาษีมูลค่าเพิ่ม (คงที่ 7%)

การคำนวณค่าเอฟที ประกาศทุก 4 เดือน เท่ากับว่า 1 ปีจะมีการ 3 รอบ คือ

งวดแรก ม.ค. – เม.ย.

งวดที่สอง พ.ค. – ส.ค.

งวดที่สาม ก.ย. – ธ.ค.

ผู้มีหน้าที่ในการพิจารณา คือ กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)

ล่าสุด กกพ. มีมีติประกาศค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากประชาชน 4 บาทต่อหน่วย  เป็นอัตราที่แพงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เป็นผลจากการทยอยปรับขึ้นค่าเอฟทีแบบขั้นบันได 1.39 สตางค์ เพิ่มขึ้นจากงวดก่อน 23.38 สตางค์ เป็นเรียกเก็บค่าเอฟที  24.77 สตางค์ เมื่อค่าเอฟทีไปรวมกับค่าไฟฐาน 3.76 บาท ทำให้เรียกเก็บค่าไฟเฉลี่ยเท่ากับ 4 บาทต่อหน่วย ซึ่งหากไม่มีการบริหารจัดการแบบขั้นบันได งวดนี้ต้นทุนที่สะท้อนข้อเท็จจริง ต้องปรับสูงถึง 1.29 บาทต่อหน่วย ทำให้ต้องเรียกเก็บจากประชาชนสูงถึง 5-6 บาทต่อหน่วยทีเดียว แต่เพื่อไม่ให้กระทบต่อภาระประชาชนมากเกินไป จึงทยอยปรับแบบขั้นบันได

สาเหตุค่าเอฟทีที่เพิ่มสูงมากเกิดจากราคาเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มสูงมากเป็นประวัติการณ์จาก

1.ปริมาณความต้องการพลังงาน น้ำมัน ก๊าซในตลาดโลก เพิ่มสูงหลังเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวหลังโควิด

2.สถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาพลังงานสูงขึ้นมาก

3.ก๊าซธรรมชาติต้นทุนต่ำในอ่าวไทย มีปริมาณการผลิตลดลง จากช่วงการเปลี่ยนผ่านผู้รับสัมปทานทำให้แหล่งก๊าซเอราวัณ ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซหลักป้อนก๊าซลดลง ส่งผลให้ต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากตลาดจรที่มีราคาสูงมากมาทดแทนในส่วนที่ขาดไป เนื่องจากระบบการผลิตพึ่งพาก๊าซเป็นธรรมชาติสูงถึง 60%

4.อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับดอลลาร์อ่อนค่าลง 

5.การประมาณความต้องการการใช้ไฟฟ้าสูง เนื่องจากเข้าสู่ฤดูร้อน

การบริหารจัดการดูแลค่าไฟของกกพ. 

1.เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าด้วยน้ำมันดีเซล และน้ำมันเตา ซึ่งปัจจุบันราคาถูกกว่าก๊าซธรรมชาติ ทดแทนได้ประมาณ 0.20%

2.ปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล​ และน้ำมันเตา สำหรับเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า

3. ประกาศมาตรการ Energy Pool Price เพื่อเฉลี่ยโครงสร้างและราคาต้นทุนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าได้แก่ ดีเซล น้ำมันเตา และ ก๊าซธรรมชาติ

4.ประกาศรับซื้อไฟฟ้า ผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็ก (SPP) ผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมาก (VSPP) ชีวมวล และชีวภาพ ที่กำลังผลิตเหลือและพร้อมป้อนเข้าระบบทันที

แนวโน้มค่าไฟเป็นอย่างไร?

ล่าสุด กกพ.ได้คาดการณ์แนวโน้มค่าไฟงวดที่เหลือจนถึงงวดแรกปี 66 โดยระบุว่า จากการบริหารขึ้นแบบขั้นบันไดในงวดถัดไปคือ ก.ย.-ธ.ค.65 จะต้องปรับขึ้นไปอยู่ที่ 64.83 สตางค์ต่อหน่วยหรือขึ้นประมาณ 40 สตางค์ต่อหน่วย และงวด ม.ค.-เม.ย.66 จะต้องปรับขึ้นไปอยู่ที่ 110.82 สตางค์ต่อหน่วย หรือขึ้นอีกประมาณ 46 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งตัวเลขดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงได้หากราคาน้ำมันและก๊าซฯมีการปรับลงไปจากสมมติฐานเดิมที่วางไว้แต่หากยังเฉลี่ยสูงเช่นปัจจุบันราคาก็จะคงอยู่ในระดับดังกล่าว   

วิธีการปฏิบัติตัวในสถานการณ์ราคาพลังงานแพงเป็นประวัติการณ์

ต้องร่วมกันประหยัดการใช้พลังงาน ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า 4 ป. ได้แก่ ปิด หรือดับไฟเมื่อเลิกใช้งาน, ปรับ อุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้อยู่ที่ 26 องศาฯ, ปลด หรือถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าลดการใช้ไฟฟ้าเมื่อใช้งานเสร็จ และ เปลี่ยน มาใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟเบอร์ 5 จะสามารถช่วยลดการนำเข้าเชื้อเพลิงราคาแพง ซึ่งจะเป็นการลดภาระค่าครองชีพสำหรับตัวเอง และยังจะเป็นการร่วมแรงร่วมใจกันลดภาระโดยรวมให้กับประเทศชาติอีกทางหนึ่งด้วย