ยังไร้วี่แววจะแผ่วลงแต่อย่างใด สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ “ไวรัสนรกโควิด-19” ในประเทศไทย ทำเอายอดผู้ติดเชื้อใหม่พุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง เฉียดๆ 1.5 หมื่นคนต่อวัน ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตยังคงมีตัวเลขที่สูงอย่างต่อเนื่อง ปรากฏภาพคนนอนตายข้างถนน-นอนตายกลางถนน อย่างอเนจอนาถ

สถานการณ์ขณะนี้เข้าสู่สภาวะวิกฤติอย่างแท้จริง สวนทางกับการรับมือของรัฐบาล ที่ไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ แม้จะมีมาตรการล็อคดาวน์อย่างเข้มงวดแต่กลับไม่ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงอย่างที่ควรจะเป็น ทำเอาจำนวนผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นจนเกินขีดความสามารถของระบบสาธารณสุขจะสามารถรองรับได้ มีคนรอเตียงจนตายให้เห็นกันมากขึ้น เกิดผลกระทบสร้างความเดือดร้อนไปทั้งประเทศ แต่การเยียวยาผลกระทบของรัฐบาลกลับยังไม่ตอบโจทย์ จนตอนนี้กลายเป็นว่า ชีวิตคนไทยต้องมารอลุ้นว่า…จะติดโควิดตายหรือต้องผูกคอตายเพราะความสิ้นหวัง!

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลพวงจากความผิดพลาดการบริหารจัดการวัคซีนของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” ซึ่งแต่เดิมมีการตัดสินใจไม่เข้าโครงการโคแวกซ์ (COVAX) แต่สุดท้ายก็ทำเอา นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ต้องออกมา “เปิดอก” ขอโทษว่า จัดหาวัคซีนได้ในจำนวนที่ไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ เพราะเป็นสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด รวมถึงสถานการณ์การกลายพันธุ์ของไวรัสที่เกินความคาดหมาย จนในที่สุดทำให้ไทยต้องขอเจรจาจัดหาวัคซีนร่วมกับโคแวกซ์ โดยมีเป้าหมายของการได้รับวัคซีนในปี 2565

ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ สวนทางการส่งสัญญาณของฝ่ายการเมือง ทั้ง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รแงนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ที่ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไทยจัดหาวัคซีนได้เพียงพอ แต่เมื่อทุกสิ่งอย่างปรากฏชัดแล้วว่าการจัดหาวัคซีนของรัฐบาลผิดพลาด ก็ยิ่งกลายเป็นการลดความน่าเชื่อถือของการแก้ปัญหาโควิดของ “รัฐบาลบิ๊กตู่”ทั้งระบบ จนคนไทยไม่สามารถฝากความหวัง-ฝากผีฝากไข้ได้

งานนี้ถ้า “บิ๊กตู่” ยังใช้ระบบเดิม เดินหน้าแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ต่อไป นอกจากจะแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว รังแต่จะเป็นการเพิ่มแรงต้านให้กับรัฐบาลและองคาพยพมากยิ่งขึ้น 

แต่ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดเดลต้าที่หนักหน่วงรุนแรง กลับยิ่งทำให้เสียงร่ำร้องของประชาชนดังมากยิ่งขึ้น จนกลายเป็นการสุมฟืนเสิรมแรงไฟให้ “การเมืองบนท้องถนน” ร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง เห็นได้จาก “ม็อบ 18 ก.ค.” จากการที่ “กลุ่มเยาวชนปลดแอก” ประกาศยุติชุมนุม เสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล ซึ่งเริ่มมีจำนวนผู้ร่วมชุมนุมที่ออกมารวมตัวกันมากขึ้น ทั้งนี้…ไม่ใช่ว่ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่กลัวโควิด แต่กลัวตายเพราะโควิดและวัคซีนไร้ประสิทธิภาพนั่นแหละ จึงต้องออกมาเรียกร้อง!

สิ่งที่น่ากังวลคือการตอบโต้ที่หนักหน่วง รุนแรง ฮาร์ดคอร์ จากทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุม ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณอันตรายทางการเมือง ที่อาจจะนำไปสู่เงื่อนไขความรุนแรงที่มากยิ่งขึ้น

นอกจากนั้นยังมีปรากฎการณ์ดราม่า “ดาราคอลเอาท์ทางการเมือง” ซึ่งเป็นเสียงสะท้อนถึงปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น และรัฐบาลควรที่จะเปิดใจรับฟัง แต่กลับกัน! เพราะงานนี้ “รัฐบาลบิ๊กตู่” เลือกที่จะสร้างศัตรูเพิ่มอีกโดยไม่จำเป็น ด้วยการที่คนในรัฐบาลแจ้งความดำเนินคดี ศิลปิน-นักแสดง รวมกว่า 25 คน ในความผิดฐานพาดพิงบุคคลทางการเมืองและรัฐบาล ความผิดหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตลอดจนความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบฯ

ยิ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนว่ารัฐบาลกำลังปิดหูตัวเอง โดยไม่รับฟังปัญหาความเดือดร้อน ไม่รับฟังเสียงร้องไห้ของประชาชน

อย่างไรก็ตามสภาพทั้งหมดเรายังอยู่ที่เดิม การแก้ปัญหาเรียกว่าย่ำอยู่กับที่ไม่ได้แล้ว เพราะเข้าขั้น “ถอยหลัง” และเราจะได้เห็นจำนวนผู้ติดเชื้อไต่ระดับมากขึ้น ได้เห็นภาพการเสียชีวิตข้างถนนมากขึ้นเรื่อยๆ หายปล่อยสถานการณ์เป็นแบบนี้ต่อไปจะยิ่งฉุดรั้งให้ย่ำแย่ลงไปทุกมิติ ทั้งชีวิตความเป็นอยู่ประชาชน สภาพเศรษฐกิจ และชีพจรของรัฐบาลที่เต้นอ่อนลงทุกวัน

ด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาของรัฐบาลที่ดิ่งเหว ประกอบกับสารพัดปัจจัยข้อบ่งชี้ถึงความผิดพลาดในการบริหารงานของรัฐบาลทุกด้าน ล้วนส่งผลให้ “รัฐบาลบิ๊กตู่” กำลังเข้าขั้น “วิกฤติระยะสุดท้าย” แม้ล่าสุด “บิ๊กตู่” จะเลือก “เล่นใหญ่” สั่งกระทรวงกลาโหม และกองทัพเรือ ชะลอซื้อเรือดำน้ำในงบประมาณ 2565 ซึ่งถือเป็นการ จมเรือดำน้ำเพื่อรักษารัฐนาวาเรือเหล็ก โดยอ้างว่านำงบประมาณไปช่วยแก้ปัญหาโควิด-19 แต่งานนี้ก็ไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชนกลับคืนมาได้ เพราะความล้มเหลวของรัฐบาลในการรับมือโควิด-19 มีให้เห็นอยู่ทนโท่

นอกจากนั้นยังเกิด “ดราม่าพรรคร่วมรัฐบาล” ที่สะท้อนได้ชัดเจนว่า แต่ละพรรคต่างเล่นบทตีสองหน้าเข้าหากัน โดยฝ่ายหัวหน้าพรรค และแกนนำพรรค จะเล่นบท “เลิฟซีน” กอดคอกันหวานชื่น เหมือนดังว่าพร้อมร่วมหัวจมท้ายกับ “บิ๊กตู่” ไปชั่วกัลปาวสาน

ทั้งที่ความจริงแล้ว…ทุกฝ่ายต่างก็สัมผัสได้ว่าสัญญาณชีพจรของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” จะอยู่ได้อีกไม่นาน ทุกพรรคเลยพากัน “แทงข้างหลัง” พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง โดยปล่อยให้ลูกพรรคเล่นบทบู๊ระห่ำ ฟาดฟันพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อตีกินคะแนนนิยม ชิงความได้เปรียบทางการเมืองกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน นอกจากนั้นยังเกิดปรากฏการณ์ว่ายน้ำหนีกันจ้าละหวั่น จากการที่ต้องตกเป็นแพะจากการบริหารจัดการโควิดล้มเหลว และการจัดหาวัคซีนผิดพลาด ซึ่งเห็นได้ชัดกรณี สิระ เจนจาคะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ลงทุนซ้อมตายนอนโลงออกสื่อ สะท้อนปัญหาโควิดไล่อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทบชิ่งไปถึงผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข จนทำเอาลูกพรรคภูมิใจไทยต้องออกมาฟาดกลับกันจนฝุ่นตลบ

จุดนี้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ถูกตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์พรรคร่วมรัฐบาล จนทำเอา “บิ๊กตู่” พูดขึ้นมากลางวงประชุม ครม. เลยว่า “ผมไม่ได้ทำงานคนเดียว เราทุกคนช่วยกันทำงาน ผมไม่คิดว่าเป็นเวลาของการเล่นการเมืองนะ ถ้าท่านจะออกจากผมก็แล้วแต่ ผมก็จะทำงานของผมต่อไป ผมไม่ทิ้งคุณ พวกคุณจะทิ้งผมก็ตามใจ”

หากดูจากสถานการณ์โควิด-19 และบริบททางการเมืองว่าแย่แล้ว หันมาดูด้านเศรษฐกิจก็ยิ่งวิกฤติไม่แพ้กัน ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจถูกกระชากลงไปดิ่งเหวทุกวัน ล่าสุด “ธนาคารโลก” World Bank คาดการณ์ว่า GDP จะขยายตัวได้เพียง 2.2% ในปี 2564 ซึ่งปรับลดลงจาก 3.4% ที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา โดยยังคงมองว่า เศรษฐกิจไทยยังคงถูกกระหน่ำอย่างหนักต่อไปอีกจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สอดคล้องกับศูนย์วิจัยของธนาคารในประเทศหลายแห่งที่ปรับลดตัวเลข GDP ของประเทศไทย เหลือต่ำกว่า 1%

และเมื่อมองไปที่การเปิดประเทศภายใน 120 วัน ตามที่รัฐบาลตั้งความหวัง-ขายฝันไว้ว่าจะเป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ก็สุ่มเสี่ยงที่จะเป็นได้เพียง “ฝันลมๆแล้งๆ” เสียแล้ว เมื่อสหภาพยุโรป (EU) ถอดประเทศไทยออกจากบัญชีประเทศปลอดภัย (White List) ที่ชาติสมาชิกยกเลิกข้อจำกัดด้านการเดินทางเข้า EU ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากประเทศนั้นได้ ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวในภูมิภาค EU ที่จะเดินทางมาเที่ยวในประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ในการเปิดประเทศกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจึงแทบจะริบหรี่ก็ว่าได้

เมื่อสถานการณ์มาถึงขั้นนี้ “บิ๊กตู่” ควรจะต้องคิดใหม่ทำใหม่ จะมัวมะงุมมะงาหรา ใช้วิธีเดิมไม่ได้แล้ว หากยังอยากจะจากลงหลังเสือแบบไม่เจ็บตัวมากนัก ไม่อย่างนั้นจะมีคนตายคามือมากขึ้นเรื่อยๆ และอาจจะต้องลงจากหลังเสือแบบสะบักสะบอม!