เมื่อวันที่ 28 มี.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข กล่าวถึงมาตรการรองรับเทศกาลสงกรานต์ ว่าเรายังเน้นย้ำมาตรการส่วนบุคคล โดยประชาชนที่จะเดินทางช่วงสงกรานต์ ให้ Self-Clean up ตัวเองให้ห่างจากความเสี่ยง แนะนำให้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. เพื่อที่การเดินทางกลับบ้านจะได้ไม่นำเชื้อโควิดเป็นของฝากกลับไปด้วย ลดความเสี่ยงก่อนเดินทางพบผู้สูงอายุ ที่สำคัญคือวัคซีนเข้มกระตุ้น หากใครรับเข็ม 3 นานมากกว่า 3 เดือนให้ไปรับเข็ม 4 ได้เลย ส่วนตัวก็ฉีดเข็ม 3 ตั้งแต่เดือน พ.ย.64 นานเกิน 3 เดือนแล้ว จะไปรับเข็ม 4 ครึ่งเป็นชนิด mRNA เพื่อป้องกันตนเอง และป้องกันคนอื่นด้วย

เมื่อถามว่ามีการคาดการณ์ตัวเลขติดเชื้อหลังสงกรานต์ที่หากเราไม่มีมาตรการใดเลย อาจติดเชื้อหลักแสนรายได้ จะกระทบต่อแผนการปรับเป็นโรคประจำถิ่นหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า การจะทำโควิดเป็นโรคประจำถิ่น มีหลายปัจจัย ไม่ใช่เพียงการติดเชื้ออย่างเดียว แต่ยังต้องมีความพร้อมด้านสาธารณสุข จำนวนผู้เสียชีวิต จำนวนการครองเตียง และผู้ใช้ท่อช่วยหายใจ ทั้งนี้ ถ้าติดเชื้อหลักแสนราย แน่นอนว่าควบคุมได้ยากแต่ต้องควบคุมไม่ให้เกิดอาการหนัก รักษาหายในเวลาอันสั้น มีระบบสาธารณสุขรองรับ

“ขณะนี้ความเป็นปกติเพิ่มมากขึ้น สำหรับมาตรการที่ผ่อนคลายได้ กรมควบคุมโรคก็ผ่อนอยู่แล้ว ต้องจัดหาบุคลากรเพื่อควบคุมสถานการณ์หลังผ่อนคลาย ดังนั้น หากตรงไหนที่พอทำได้ เราก็คลายนอต แต่ถ้ามีความเสี่ยงสูงเราก็ต้องขันนอต”

เมื่อถามถึงความคิดเห็นในกรณีการเสนอให้มีการเล่นสาดน้ำในถนนข้าวสาร นายอนุทิน กล่าวว่า ตนคิดว่าเรายังมีความจำเป็นในการลดความเสี่ยงหลายด้าน โควิดไปกับคน ติดได้จากการสัมผัส ใช้ภาชนะร่วมกัน ดังนั้นการสาดน้ำที่ต้องมีการสนุกสนาน ก็เป็นความเสี่ยง อย่างไรก็ตามมาตรการสงกรานต์ปีนี้เราไม่ได้ปิด ยังสามารถพบปะกันได้ ขอให้อดทนซักปี เรากำลังเดินเข้าสู่โรคประจำถิ่น ที่ไม่ใช่การประกาศไปอย่างเดียว แต่ต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนด้วย เราตั้งใจจะเข้าสู่โรคประจำถิ่นก็พยายามอย่าไปเพิ่มความเสี่ยงในปัจจัยอื่นๆ แล้วเมื่อเป็นโรคประจำถิ่นแล้วทุกอย่างก็จะคลี่คลายไปได้เยอะ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณี “เข็ม 4 ครึ่ง” ตามที่นายอนุทินได้กล่าวถึงนั้น คือการฉีดวัคซีนเข็ม 4 ชนิด mRNA ในปริมาณครึ่งโด๊ส ซึ่งผ่านการพิจารณาและเห็นชอบของคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ผ่านการเห็นของของที่ประชุม EOC กระทรวงสาธารณสุขเรียบร้อยแล้ว.