เมื่อวันที่ 26 ก.ค.นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์สดที่เพจ “The room 44 “ ถึงประสบการณ์การติดเชื้อโควิด-19 และการฟื้นฟูร่างกายของคนสูงอายุว่า สำหรับคนอายุ 60 ขึ้นไปควรนอนให้เพียงพอ และออกกำลังกาย ส่วนของหวานก็ให้กินน้อยๆ อย่างขาหมูถ้าอยากกินก็เดือนละครั้งพอ และต้องสร้างสมดุลให้กับตัวเอง ที่สำคัญต้องควบคุมอารมณ์ตัวเอง เพราะมนุษย์หัวใจทำด้วยเนื้อ มีอะไรมากระทบก็ต้องปล่อยวาง ซึ่งช่วงที่ตนเป็นโควิดช่วงนั้นร่างกายเหลือแต่หนังกับกระดูก ต้องขึ้นลิฟต์แต่ตนต้องฝืนเดิน โชคดีได้หมอดี หมอบอกเหนื่อยอย่าไปสนใจ ต้องเดิน ตอนแรกๆ ปอดยังมีน้ำ ก้าวไปสามสี่ก้าวก็เหนื่อย ต้องฝืนส่วนปอดตอนนี้ดีหมดแล้ว เหลืออย่างเดียวคือปอดแหก

เมื่อถามว่า ตั้งแต่เกิดมาเมื่อวันที่ 26 ก.ค.2492 และจนถึงวันนี้ต้องไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ คิดว่าชีวิตมีอะไรได้ มีอะไรเสีย นายทักษิณ กล่าวว่า บางทีเราไม่ค่อยรู้ว่าโชคชะตาชีวิตเป็นอย่างไร หรือผังชีวิต เมื่อเกิดมาทุกคนมีผังชีวิตของตัวเอง เราอ่านไม่เป็น ผังชีวิตที่เกิดมาเหมือนกำหนดว่าชีวิตเราต้องเจออะไร ระยะเวลาไม่มีเป๊ะๆ แล้วแต่ทำบุญทำกรรมกันมา แต่เราต้องทำดีที่สุดเราต้องยอมรับกับมัน ยอมรับว่าปีแรกที่ตนออกมา ตอนโดนปฏิวัติตนก็โกรธว่าทำดีขนาดนี้โดนขนาดนี้เลยเหรอ แต่ก็คิดว่าอย่ายึดติดอดีต อดีตที่เราเรียนรู้เราต้องอยู่กับปัจจุบัน ตอนหลังมาครบปีหนึ่ง ตนก็นั่งถามตัวเองว่า ตอนไปเรียน ป.โท เงินไม่มี เราก็ไปเป็นพนักงานเคเอฟซี เช่าหอพักอยู่แล้วใช้รถผ่อนส่ง ส่งหนังสือพิมพ์ ตอนนั้นเรายังอยู่ได้ ตอนนี้เงินก็มี เพื่อนก็เยอะ บ้านก็มีหลายหลังหลายประเทศ เราก็คิดว่าเอ๊ะตกลงบ้านเราอยู่ที่เมืองไทยเท่านั้นเหรอ โลกทั้งโลกก็คือบ้านเรา อย่างพระพุทธเจ้าบอกว่า ตั้งอยู่และดับไป

นายทักษิณ กล่าวว่า คือต้องมีธรรมะกับตนเอง ทุกอย่างคือสิ่งสมมุติ สมมุติว่าบ้านเราอยู่อังกฤษ ดูไบเราก็แฮปปี้มีความสุข ตนก็บอกว่าเราจะไปเสียเวลากับมันทำไม ก็ทำมาหากินดีกว่า เริ่มก็ไปซื้อทีมฟุตบอลแมนฯ ซิตี ซื้อเครื่องบินไปหาเพื่อน ทำมาหากิน ก็อยู่ได้ ลูกหลานก็มาเยี่ยมก็มีความสุข อย่าไปทุกข์กับมัน แต่เมื่อดูเรื่องราวจากประเทศไทยในฐานะเป็นนายกฯ มาก่อน ก็อดไม่ได้ ที่จะห่วงใย มันไม่รู้จะให้อะไรนอกประสบการณ์

ถามว่า โดนกระทำรู้สึกแค้นหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ความโลภ ความโกร ธความหลง ทำให้โง่ คือทำให้เราคิดไม่ออก เราจะมีสิ่งที่มีสิ่งแทรกซ้อนกับทางอารมณ์ จะต้องปล่อยวางทางอามรณ์ให้ได้ ตนมีลูกหลาน ธุรกิจ ดังนั้นตนจะทำอะไรต้องมีสติ โกรธ ก็ด่าคน มันไม่ได้ คนเราอย่าไปหวังว่าจะเติมเต็มทุกอย่างให้กับชีวิต ชีวิตไม่มีคำว่าสมบูรณ์

เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาเคยทบทวนว่าเราเสียใจ หรือเรื่องอะไรคือเรื่องที่ดีที่สุด นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่มีใครถูก 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถูกบ้างผิดบ้าง แต่หัวใจที่สำคัญคือ หัวใจบริสุทธิ์ ทุ่มเทและทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ใช่ทำหน้าที่โดยไม่ฟังใครหรือคิดว่าตัวเองฉลาดสุด มันไม่ใช่ บางครั้งเรามีผิดพลาดและกลับมาทบทวน แต่อย่างเช่นปัญหาภาคใต้ ตนก็รู้ว่าตนทำไม่ถูก ตนใจร้อนไป คือตนใช้ทหารเร็วไป ควรใช้การเมือง และอดทนมากกว่านั้น นี่คือสิ่งที่ผิดพลาด และตอนที่นายกฯ ปู เป็นนายกฯ ตนก็พยายามแก้ไขคุยกับหัวหน้าก่อการทั้งหลายที่หนีไปมาเลเซีย อินโดนีเซีย บ้างว่าเราจะคุยกันอย่างไรให้ประเทศเจริญ ตอนนั้นตนก็แอบทำอยู่ และส่งให้ทางนายกฯ ปู แต่ทหารไม่แฮปปี้ และถ้าใครบอกว่าตนไม่เคยพลาดเลยเป็นไปไม่ได้

ถามว่า อะไรที่ทำแล้วภูมิใจ นายทักษิณ กล่าวว่า เรื่องของการทำให้ชาวบ้านหลายๆ เรื่อง เช่นเรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรค การใช้หนี้ประเทศ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราภูมิใจ ย้อนกลับไปดูเราก็เอ๊ะ เราก็ทำไปเยอะเหมือนกันตนเป็นคนชอบทำงาน

เมื่อถามว่า มีการบริหารจัดการอารมณ์ให้มีสติทำอย่างไร นายทักษิณ กล่าวว่า อาจจะเป็นเพราะว่าตนแก่แล้ว อายุมากขึ้น ความนิ่งทางอารมณ์ก็จะมีมากขึ้น ส่วนที่สองคือเราต้องให้สติตัวเราเอง ตนอ่านหนังสือธรรมะ ก่อนตนจะลงเลือกตั้งครั้งแรก ลูกศิษย์พระพุทธทาสได้ให้ตนไปบรรยากาศการเมือง เขาก็เลยเอาหนังสือพระพุทธทาสสิบกว่าเล่มมาให้อ่าน ตอนแรกอ่านยาก พออ่านไปเรื่อยๆ ก็เข้าใจ เช่นจงเป็นลูกเสืออย่าเป็นลูกหมาคือ เวลาเอาไม้แหย่ลูกเสือก็กัดเลย ลูกหมากัดที่ปลายไม้ ตนก็นั่งอ่านๆ ก็มีสติ ตอนเป็นนายกฯ นิ่งกว่าเป็นนักธุรกิจเยอะ

ถามว่า ความแค้นทางการเมืองยังมีอยู่ในใจหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ตนเป็นคนที่ใจกว้างและสร้างสรรค์ ไม่ใช่คนชอบทำลายคนหรือมองโลกในแง่ร้าย เป็นคนคิดบวกตลอด ตนไม่เคียดแค้นคน ให้อภัยคนตลอด แต่ก็จำได้ทุกเรื่อง สามารถเล่าเรื่องทุกเรื่อง ดังนั้นใครเดินเข้ามาในชีวิตตน อย่าลืมว่าสมองจำได้หมดว่าใครบ้าง ตอนนี้ 3 ป.จำได้แม่นเลย

เมื่อถามว่า วิกฤติที่เกิดมักเกิดจากคนใกล้ชิด นายทักษิณ กล่าวว่า เมืองไทยไม่ได้กว้างใหญ่ เพราะสังคมมันแคบ ดังนั้นจะรู้จักกันหมด ทุกคนก็มีแนวทางชีวิตของตัวเอง ทุกคนก็อยากจะสร้างตัวเองขึ้นมาหลายรูปแบบบางคนมีจริยธรรมก็มี แต่บางคนไม่มี ส่วนเรื่องมิตรแท้นั้นในหมู่การกระเสือกกระสนเข้าอำนาจ ไม่มีมิตรแท้ศัตรูที่ถาวร

ผู้สื่อข่าวถามว่า ไปที่ไหนไปได้หมด ยกเว้นไทย นายทักษิณ กล่าวว่า เราก็รู้อยู่ วันนี้เฉยๆ แต่อย่างไรตนก็ยังรักพี่น้องชาวไทย ตนก็ยังห่วงใยประเทศไทย ตนก็อยากไปกราบคนที่รักและเคารพเสมอและกราบแผ่นดินเกิดและเลี้ยงหลาน และแข็งแรงต่อไปก็เลี้ยงเหลน

อย่างไรก็ตามตนเป็นคนเดินทางเยอะ พบกับคนหลายระดับ และเห็นความสำเร็จและความล้มเหลวของการเมืองในแต่ละประเทศพอสมควร และอ่านหนังสือเยอะ ดังนั้นตนมีประสบการณ์ย้อนมองไปยังประเทศไทยวันนี้ ต้องยอมรับว่า ภาพรวมเราล้าหลังมาก เราควรไปไกลกว่านี้เยอะ เราตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกทั้งเศรษฐกิจ การเมือง ความรู้ทางเทคโนโลยีต่ำมาก น่าเสียดายและพรุ่งนี้ (27 ก.ค.) เวลา 20.00 น. ตนจะพูดในรายการคลับเฮาส์  เรื่อง ROADMAP to New Normal : วางเส้นทางสู่วิถีใหม่ และเราจะปรับตัวอย่างไร เมื่อก่อนของไทยขึ้นไปสู่สูงแล้ว แต่วันนี้มันไหลตกมาอยู่โลกยุคที่ 2 ยังคิดแบบโบราณ หรือคิดแบบทหาร มันไปไม่ได้ วันนี้ทหารขอให้เป็นคนสุดท้ายนะที่จะบริหารประเทศ ต้องยอมรับว่าพวกคุณล้าหลังเกินกว่าที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำตอนนี้