เมื่อวันที่ 10 เม.ย. นพ.จิรรุจน์ ชมเชย กุมารแพทย์เชี่ยวชาญโรคระบบหายใจ กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Jiraruj Praise ระบุว่า ATK 2 ขีดแล้วอย่างไรต่อไป…. สำหรับเด็กๆ

ตอนนี้พูดเรื่องป้องกัน ดูเหมือนจะสายไปแล้วครับ และคาดว่า ประชาชนก็น่าจะรู้อยู่แล้วล่ะครับ แต่แม้พยายามแค่ไหน มันก็ ติดเชื้อได้… ดังนั้น มาพูดกันดีกว่าครับว่า ถ้าติดเชื้อ ATK 2 ขีดแล้วจะทำอย่างไรต่อ

ผมจะขอเน้นเรื่องของเด็ก นะครับ อ้างอิงแนวทางจากราชวิทยาลัยกุมารฯ ก่อน ATK 2 ขีด ศึกษาก่อนเลยครับ

1. สิทธิการรักษาของเราอยู่ที่ไหน รพ.อะไร รพ.สต.หรือ อนามัยอะไร ใน ต่างจังหวัด ถ้ากรุงเทพฯ ก็จะลำบากหน่อยครับ

แต่ละพื้นที่แต่ะจังหวัดก็มีแนวทางการให้บริการแตกต่างกัน (นี่คือเรื่องปกติแบบไทยๆ) เกิด 2 ขีดขึ้นมาจะได้ไปถูก

2. ยาสามัญที่จำเป็นเมื่อป่วยเช่น ยาลดไข้พาราเซตามอล ยาบรรเทาอาการไอ ละลายเสมหะ น้ำเกลือแร่ ยาแก้อาเจียน เหล่านี้ ซื้อติดบ้านไว้ได้เลย หากป่วยจะได้ไม่ต้องวิ่งหายาครับ

3. เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว… มีได้ก็ดี ราคาไม่สูงมาก ร้านขายยาก็มีขายครับ กดเอาตาม online ต้องระวังไม่ได้มาตรฐานไม่ผ่าน อย.เครื่องมือแพทย์

– ATK 2 ขีดแล้ว อันนี้พูดแบบประชาชนทั่วไป ไม่อิงนิยามระบาดอะไรเลยนะครับเพื่อให้ประชาชนเข้าใจ 2 ขีด คือ เชื่อได้ว่า น่าจะติดเชื้อแน่ๆ หลายที่ไม่มีการ confirm PCR เว้นแต่จะต้องเข้ารพ. หรือ กรณีอื่นๆ …แต่สรุปคือ ติดเชื้อแล้วล่ะ ที่นี้ก็ว่ากันด้วยเรื่องการรักษาตัว

– ต้องนอนโรงพยาบาลไหม กลุ่มเสี่ยงรุนแรงเช่น ไข้สูง 39 องศาฯต่อเนื่องเกิน 1 วัน ซึม ชัก กินไม่ได้ อาเจียนมาก หอบเหนื่อย เหล่านี้ควรได้รับการตรวจเพื่อพิจารณาว่าเข้าเกณฑ์ต้องนอน รพ.หรือไม่ (ส่วนใหญ่ถ้ามีอาการดังกล่าวก็น่าจะนอนล่ะครับ)

กลุ่มที่มีอาการเล็กน้อย เช่น ไข้ ต่ำกว่า 39 องศาฯไม่ต่อเนื่อง เจ็บคอ พอกินได้ หรือไม่มีอาการ สามารถรักษาตามอาการ “อยู่ที่บ้าน” หรือเข้าระบบ Home isolation (ถ้ามีระบบ) ทานยาลดไข้ เช็ดตัว

หากมีอาการไข้ต่อเนื่อง เช่น 39 องศาฯต่อเนื่องเกิน 1 วัน หรือ อาการแย่ลง ซึมลง กินไม่ได้ อ่อนเพลียมาก

อันนี้ควรมาตรวจเพิ่มเติมที่ รพ. เพื่อประเมินว่าต้องรับการรักษาใน รพ.หรือไม่ ต้องกินยาต้านไวรัสฟาวิพิราเวียร์ไหม คำตอบคือ “ไม่จำเป็นสำหรับทุกราย”

โดยส่วนใหญ่ หากอาการเล็กน้อย หรือ ไม่มีอาการ ไม่จำเป็นต้องทานยาต้านไวรัส แต่ในรายที่มีความเสี่ยงต่ออาการรุนแรงเช่น….

อายุน้อยกว่า 1 ปีและมีปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรง ได้แก่

1.โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมทั้งหอบหืดที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง

2.อ้วน

3.โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง

4.โรคไตวายเรื้อรัง

5. โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ

6. โรคเบาหวาน

7.กลุ่มโรคพันธุกรรม รวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง

เด็กที่มีพัฒนาการช้า เหล่านี้ แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัส นั่นแปลว่า ต้องไปรับการรักษาที่ รพ. หรือ สถานบริการก่อน เพื่อตรวจและเข้าถึงยาต้านไวรัส

– ส่วนใหญ่อาการของโรคเป็นอย่างไร >> ในรายที่มีการรุนแรงขึ้น ก็จำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัสฟาวิพิราเวีย เช่นกัน ส่วนใหญ่อาการของโรคเป็นอย่างไร ในเด็กที่อาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ อาการไข้ ดูอ่อนเพลีย หนักๆอยู่ 2-3 วันแรก ถ้ากินได้ ประคองตัวไปได้ หลังจากนั้น ไข้จะลดลง เหลืออาการเจ็บคอ เสียงแหบ ได้นานถึง 7 วัน

– กักตัวอยู่บ้านกี่วันจึงจะปลอดภัย >> อย่างน้อย 10 วัน นับตั้งแต่วันที่ ATK 2 ขีด นั่นแหละครับ โอกาสแพร่กระจายเชื้อก็ลดลงไปมาก แต่ยังแนะนำให้ สวมหน้ากากขณะออกไปนอกบ้าน แต่ผมแนะนำที่อย่างน้อย 14 วัน อันนี้เชื้อน่าจะน้อยมากๆ (ในกรณีที่ผู้ป่วยนั้นภูมิคุ้มกันปกตินะครับ) และโอกาสแพร่เชื้อน่าจะน้อยมากๆ เช่นกัน

– ต้องตรวจ ATK ซ้ำไหม ไม่มีคำแนะนำชัดเจนเรื่องนี้ แต่โดยทั่วไป หลัง 7 วัน ATK มักให้ผลเป็นลบ (ขีดเดียว) มีผู้เชี่ยวชาญหลายท่านบอกว่า ถ้า ATK ขีดเดียว ก็น่าจะเชื้อว่า โอกาสแพร่เชื้อต่อน้อยมาก

อันนี้ก็แล้วแต่ครับ แต่โดยทั่วไป ถ้ากักตัวรักษา ครบ 14 วัน (ในผู้ป่วยภูมิคุ้มกันปกติ) ไม่ต้องตรวจอะไรซ้ำแล้วครับ

– MISC จะมาไหมจะดูอย่างไร MISC หรือ การอักเสบในหลายๆระบบของร่างกายตามหลังการติดเชื้อโควิด-19 พบได้มากขึ้น แม้จะไม่บ่อย แต่ก็พึงเฝ้าระวังโดยเฉพาะหลังติดเชื้อ ช่วง 2-6 สัปดาห์ หลังจากนั้นโอกาสพบจะลดลงอาการหลักๆ ก็ไข้สูง อ่อนเพลีย ผื่นตามตัว มือเท้าแดง ซึ่งหากสงสัยควรพบไปพบแพทย์ เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษา

– ยังต้องรับวัคซีนป้องกันโควิดไหม อายุ 5 ปีขึ้นไป ยังต้องรับให้ครบ โดยห่างจากการติดเชื้อไปนาน 3 เดือน (นับตั้งแต่วันที่ ATK 2 ขีด)

ทั้งหมดคือ “คำแนะนำเบื้องต้น” เมื่อ ATK 2 ขีด หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคุณพ่อคุณแม่ ในสถานการณ์ ที่เด็กป่วยจำนวนมากขณะนี้

แต่ที่สำคัญมากๆคือ เด็กอายุน้อยมากๆ ยังบอกเราไม่ได้ ยิ่งต้องตามดูอย่างใกล้ชิด ถ้าอาการเปลี่ยนแปลง ดูแย่ลง ซึมลง กินไม่ได้ ควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม และได้รับยาต้านไวรัสตามข้อบ่งชี้ครับ ป้องกัน อย่าให้ติดเชื้อไว้ก่อนดีที่สุด… ครับ

*** ข้อมูลดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต หากมีข้อมูลใหม่ ขอให้ทุกท่านปลอดภัยครับ