จากกรณีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า มีน้องนักศึกษาอายุ 18 ปี มาปรึกษาว่าถูกรองหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ลวนลาม หอมแก้ม กอดจูบ จับก้นโดยไม่สมยอม ระหว่างถูกหลอกพามาคุยเรื่องงานและสอนน้องเรื่องหุ้น เศรษฐศาสตร์ แต่พอมาจริงกลับคุยแต่เรื่องเพศ และลวนลามต่างๆ นานา ซึ่งคุณแม่ของน้องได้ปรึกษาทาง LINE Official: https://page.line.me/sittra ก่อนจะแนะนำให้แจ้งความดำเนินคดีและเก็บหลักฐานไว้ดำเนินคดี ตามที่ได้มีการรายงานข่าวไปอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 เม.ย. ได้มีเหยื่อผู้เสียหาย ที่ถูกข่มขืนจากนักการเมืองชื่อดังรายนี้ เข้ามาเปิดเผยกับทีมข่าวว่า ก่อนเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ได้รู้จักบุคคดังกล่าวผ่านการทำงาน แล้วก็ได้พูดคุยกันแลกเปลี่ยนเบอร์กันซึ่งช่วงแรกที่คุยกันเขาไม่มีพฤติกรรมที่จะส่อไปในทางชู้สาว ก็เป็นการคุยปกติเรื่องงานคุยกันผ่านทางวอทแอพ

จากนั้นก็ได้มีการนัดเจอกันครั้งแรก อย่างไรก็ตามจากการเจอครั้งแรก ก็มีการลวนลามเกิดขึ้น โดยเขาเอ่ยปากอยากจะขอเลี้ยงดู มีการมาโอบเอว ซึ่งตอนนั้นเราก็คิดว่าคงเป็นพฤติกรรมพวกหัวงู แต่เราก็ป้องกันตัวเองด้วยการเบี่ยงตัวและพยายามปัดป้อง หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ไปเจอเขาอีก แต่ก็ยังมีการคุยงานกันอยูา เนื่องจากเราทำงานอีเว้นท์ก็ต้องติดต่องานกัน

ต่อมาก็มีมาเจอกันบ้าง แต่ในที่สาธารณะ เช่นห้างสรรพสินค้า ไม่ได้ลับตาคนอะไร เพราะเรามีเรื่องที่ต้องปรึกษากันเรื่องงาน ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้มีพฤติกรรมลวนลามเราอีก แต่เขามีความพยายามที่จะชวนเราไปคอนโดฯของเขาแถวสุขุมวิท นานา ชวนไปดูว่าควรตกแต่งคอนโดฯอย่างไรดี ซึ่งตนไม่ไป เพราะตนก็ระมัดระวังตัวเองอย่างมากเหมือนกัน แต่ทั้งนี้ตนก็พลาดจนได้ เนื่องจากวันนั้นได้มีการนัดเจอกันปกติ ซึ่งเขาบอกว่าให้เรารออยู่และเขาจะมารับพาไปทานข้าว ซึ่งเราก็ดูแล้วว่าสถานที่ที่จะไปทานข้าวไม่ได้น่ากลัวอะไร ไม่ได้ลับตาคน ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลา 20.00 น. พอเขามาเขาก็ให้ขึ้นรถมาก่อน เพราะเขาบอกว่าลืมของไว้ที่ออฟฟิศจะกลับไปเอาก่อน ตนก็ขึ้นรถไปจนถึงออฟฟิศของเขา เขาก็บอกให้ขึ้นไปด้วยกัน ซึ่งตอนนั้นตนปฎิเสธไปว่าจะรออยู่ที่รถ แต่เขาไม่ยอม ตนจึงต้องขึ่นไปด้วย

ซึ่งพอเปิดห้องเข้าไปที่ออฟฟิศตนก็โล่งใจในระดับหนึ่ง เนื่องจากเห็นว่าออฟฟิศกำลังอยู่ในขั้นตอนของการตกแต่ง มีข้าวของวางระเกะระกะมากมาย ไม่น่าจะทำอะไรได้ แต่พอเห็นเขาเปิดไปอีกห้องหนึ่งปรากฎว่าเป็นห้องนอนที่เขานอนทุกวัน ตนก็เริ่มตกใจ และเขาก็ได้ผลักตนเข้าไปในห้อง ตอนนั้นยื้อหยุดกันนานกว่า 3 ชั่วโมง แขนเขียวและม่วงไปหมดแล้ว และตนก็ได้ขอร้องทุกวิถีทางว่าให้ปล่อยตนไปเถอะ อย่าทำอะไรตนเลย ตนกรี้ด ตนแกล้งชัก ตนพยายามอ้างทุกอย่าง เช่น มีประจำเดือน มีแฟนแล้ว ซึ่งเขาพยายามเสนอว่าจะให้รถตน จะให้เงิน จะเลี้ยงดู ตนก็ปฎิเสธทุกอย่าง สุดท้ายตนก็สู้แรงเขาไม่ไหว ทำให้เขาสามารถข่มขืนตนจนสำเร็จความใคร่

ซึ่งพอหลังจากเกิดเรื่อง เขาก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งตอนนั้นตนช็อกและทำอะไรไม่ถูก ตนไม่กล้าบอกใคร ตนได้เคยบอกกับเขาไปว่า ตนจะบอกตำรวจ แต่เขากลับบอกว่าก็ไปแจ้งสิ ใครจะเชื่อเธอ รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร พ่อฉันเป็นใคร เธอคิดว่าตำรวจจะเชื่อเธอหรอ ทั้งนี้ไม่มีการให้สิ่งของหรือเงินใดๆ กับตนตามที่เขาเคยเสนอไว้ ประกอบกับพอเกิดเรื่องเขายังโทรฯมาชวนให้ไปอีกด้วยซ้ำ ซึ่งตนปฎิเสธไป

ซึ่งเหตุการณ์นี้ตามหลอนเรามาตลอดเวลา จนทำให้ตนเป็นโรคซึมเศร้า ต้องทานยาตลอด ทั้งยาคลายเครียด ยานอนหลับ เพราะตนรู้สึกขยะแขยงตัวเอง ไม่น่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับตนเลย เหมือนเคยผ่านผู้ชายมา เหมือนเป็นผู้หญิงไม่มีค่า ซึ่งตอนนั้นตนยังเด็กด้วย โดยตนบอกเลยว่า สิ่งที่ทุกคนเห็นเขาผ่านทีวีมันไม่ใช่ตัวเขา นั่นเป็นสิ่งที่เขาแสดง เพราะตอนที่เขาอยู่กับตน เขาเอาแต่ใจ ขี้โมโห อารมณ์ขึ้นง่าย ปรี้ดง่าย โวยวาย บางครั้งมีถามตนด้วยว่า คิดว่าพี่เก่งเรื่องอย่างว่าไหม ชอบท่าไหน ตอนแรกที่ตนเห็นในทวิตเตอร์ ตนก็คิดว่าทำไมเหมือนเรื่องของตนเลย ก็เข้าไปอ่าน พบว่ามีผู้เสียหายจำนวนมากที่เคยโดนแบบตน ตนจึงติดต่อไปยังทนายษิทรา ซึ่งตนกลัวมาก แต่ทนายก็ให้ความเชื่อมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง จึงเล่าให้ทนายษิทราทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

จึงอยากให้คนที่เสียหายเหยื่อที่เคยโดนแบบตนออกมาบอกให้ทุกคนได้ทราบ ตนเองก็เก็บเรื่องนี้มาหลายปี และก็ทุกข์มาก การออกมาบอกเรื่องนี้ก็เพื่อช่วยกันให้สังคมรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่ เขาจะได้ไม่ต้องไปหลอกเด็กรุ่นใหม่ๆอีก ให้เหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์เตือนภัยสำหรับทุกๆคนด้วย.