กำลังเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ที่หลายคนสนใจอย่างมากมายสำหรับกรณี ตร.ภูธรภาค 1 แถลงสรุปสำนวนคดี แตงโม-นิดา พัชรวีระพงษ์ ตกเรือสปีดโบ๊ตจมแม่น้ำเจ้าพระยาเสียชีวิต หลังจากที่ผ่านมา 2 เดือน พร้อมส่งสำนวนให้ชั้นอัยการต่อไป ซึ่งรายการโหนกระแสวันนี้ได้เชิญ รองแต้ม พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล มาพร้อม ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร และ โม-อมีนา พินิจ เพื่อนสนิทแตงโม ร่วมวิเคราะห์การแถลงของตร. ว่าเป็นอย่างไร  

รองแต้ม เผยว่า “เรื่องนี้คิดว่าวันนี้ ตร.ไม่ได้มาปิดคดี เขาจะมาสรุปการดำเนินการเทคนิคในการสืบสวนสอบสวน แล้วก็รวบรวมพยานหลักฐานครบถ้วน คิดว่าครบถ้วน เพื่อเสนอสำนวนให้สำนักงานอัยการ พร้อมส่งตัวผู้ต้องหา เพื่อดำเนินคดีตามพยานหลักฐานที่ปรากฏที่ทำการสอบสวนมา วันนี้คิดว่า ตร.เขาจะแถลง แต่ไม่ได้ปิดคดี คำว่าปิดคดีอาจต้องถึงศาลตัดสินแล้ว หรือศาลตัดสินแล้วมีหลักฐานใหม่ หรือมีคนไปร้องกระทรวงยุติธรรม ขอให้ศาลพิจารณาใหม่ได้ ดังนั้นคำว่าปิดคดีเป็นคำของชาวบ้านที่พูดกัน หลักการทำงานของ ตร. ไม่ใช่ปิดคดี ที่แนวทางเป็นอุบัติเหตุ ทุกวันนี้ที่คิดว่า ตร.ต้องตอบข้อสงสัยให้ได้ อันดับแรก คือน้องแตงโมไปฉี่จริงหรือไม่ ที่ประชาชนสงสัย สองน้องแตงโมตกเรือตรงจุดไหน สามน้องแตงโมถูกฆาตกรรมหรือไม่ สี่ถ้าไม่ใช่ฆาตกรรม ผิดข้อหาอะไรบ้าง สามใครบ้างที่รับผิดชอบ สี่พนักงานสอบสวนทำสำนวนครบถ้วนตามหลักวิชาการหรือไม่ ที่สังคมสงสัยอย่างที่คุณหมอพรทิพย์สงสัยมา หลักฐานทางโซเชียลมันมีประโยชน์หรือไม่”

ที่ชาวเน็ตแซะว่าเหมือนละคร เขาเล่าเหตุการณ์ทีละตอน อัยการก็เหมือนกันจะเป็นแบบนี้ เขาไล่เหตุการณ์ตั้งแต่วินาทีแรก เดี๋ยวก็จะให้ถามว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ที่เขาทำมีหลักการ ที่ผมรู้ไม่ใช่หลักการวิชาการของ ตร.อย่างเดียว เขาเอาภาคเอกชน ผู้เชี่ยวชาญมาบอกหมด การที่ประชาชนไม่เชื่อสิ่งที่ ตร.แถลง การเชื่อหรือไม่เชื่อ มันต้องมีพยานหลักฐาน มีวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญมาสนับสนุน อย่างคนบอกว่าน้องแตงโมไม่ได้ตกตรงนั้น ผมถามคนถามสิว่าแล้วคุณตอบได้มั้ยว่าตกตรงไหน มีอะไรสนับสนุนมั้ย แต่ที่เขาบอกว่าตกท้ายเรือ เขามีวิทยาศาสตร์ มีผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการทุกเรื่อง ซึ่งเขายังไม่ได้บอกนะว่าผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงทั้งนั้นที่อยู่ในสำนวน เขาทำวิธีการขั้นตอนการสืบสวนมาให้ดูเท่านั้น เช่นการผ่าพิสูจน์ ครั้งที่ 1 ผ่าไปแล้ว เชื่อมั้ยครั้งที่สองตั้งเป็นคณะทำงานเลยนะ มีหมอจาก รพ. ผู้เชี่ยวชาญทั้งนั้น ผมถามว่าครั้งที่ 1 ที่ 2 หมอบอกตรงกันหมด แล้วจะเชื่อใคร”

“เรื่องความเชื่อเราห้ามกันไม่ได้ ผมบอกว่าคดีนี้มันไม่ได้ยากเลย ไม่ได้สลับซับซ้อนเลย แต่มันยากที่เราจะทำให้ประชาชนเข้าใจ ในการทำงาน พยานหลักฐานต่างๆ ตรงนี้ยากมาก เพราะคดีนี้โซเชียลไปก่อนแล้ว ให้คนวิพากษ์วิจารณ์แล้ว ก็เป็นหน้าที่ ตร. อัยการ ศาล ผมคิดว่าเดี๋ยวสำนวนอัยการจะชัดเจนที่สุด จริงๆ แล้วที่ ตร.แถลง เขาแถลงขั้นตอน แต่เนื้อในเท่าที่รู้มันละเอียดมากกว่านี้ อย่างการผ่าพิสูจน์คณะที่มาผ่าเป็นอาจารย์หมอจาก รพ.ดังๆ ที่มีชื่อเสียงทั้งนั้น ครั้งที่ 1 ที่ 2 ความเห็นตรงกันหมด แล้วเราจะเชื่อใครล่ะ วันนี้ไม่ได้ปิดคดี เป็นการสรุปการสืบสวนสอบสวนทำความเห็นเพื่อส่งให้พนักงานอัยการ พนักงานอัยการ พอไปรับสำนวนเสร็จแล้ว ถ้าเห็นตามพนักงาน ตร. ก็จะส่งผู้ต้องหาไปฟ้องที่ศาล เพื่อให้ศาลตัดสินต่อไป ถ้าพนักงานอัยการไม่เห็นด้วยก็จะส่งให้ ตร.ไปสอบสวนเพิ่มเติม ตามที่พนักงานอัยการตั้งประเด็นไว้ สามถ้าข้อหาที่ ตร.แจ้งไป มันไม่พอหรือยังไม่แจ้งอะไรต่างๆ เขาก็จะให้ ตร.แจ้งข้อหาเพิ่มเติม ดังนั้นสำนวนยังไม่เสร็จ ยังไม่ปิด เพียงแต่สรุปตามความเห็นเบื้องต้น เพราะกระบวนการยุติธรรมมันมี 3 ชั้น ตร. อัยการ ศาล ขนาดตัดสินแล้ว บางทีพบหลักฐานใหม่ก็ยังรื้อกันใหม่ได้ ดังนั้นฝากประชาชนอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ยังไม่ได้ปิดคดี”

ทนายรณณรงค์ เผยว่า “ผมรอฟังอยู่ 3 ประเด็นเท่านั้นเอง ไปเช็กดูว่า ตร.จะอธิบายยังไง อย่างแรกแผลที่ขาขวาโดนอะไรแน่ สำคัญที่สุดเลย เพราะมีหลายทฤษฎี ว่าฟินน์บ้าง ใบพัดบ้าง มีดบ้าง หลังๆ ที่ปอกขวดไวน์ มีหลายทฤษฎีมาก ก็รอฟังสิว่าสรุปมาจากอะไรแน่ ต่อมาคือตำแหน่งหล่นไปกับบาดแผลไหน หล่นตำแหน่งไหน แล้วก็คลิปเด็ดที่บอกว่าเห็นชัด ว่าแตงโมหล่นท้ายเรือแน่ๆ รอดูอยู่ หวังว่าวันนี้คงไม่เห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ นะ หรือไม่บอกว่าจะเก็บไว้ใช้ในชั้นศาล นี่หวังว่าจะได้เห็น จะได้หมดข้อสงสัยว่าหล่นตำแหน่งไหนแน่ โซเชียลไม่เห็นด้วย ก็ไม่เชื่อเท่านั้นเอง ตัวตำแหน่งการหล่นภาพไม่ชัดเลย ให้ผู้เชี่ยวชาญมาชี้ภาพก็ไม่ชัดอยู่ดี ซึ่งไม่เกินความคาดหมาย ตำแหน่งที่หล่นก็ยังไม่ชัดว่าหล่นตำแหน่งนั้นจริงหรือเปล่า ดูแล้วยังไม่ชัด ตอนแรกบอกว่าหลักฐานชัด ดูยัไงก็ไม่ชัด สี แสงแบบนี้ทีวีหลายช่องก็ทำมาแล้ว หรือตัวแผลคุณแตงโมที่โดนปั่น เป็นประเด็นที่สุด ถ้าเข้าไปจะปั่นแค่แผลเดียวเป็นไปได้มั้ย มันก็ยากนะ ก็ยังไม่เคลียร์ แต่ถ้าฟ้องก็ฟ้องตามนั้นแหละ เพราะกฎหมายเอาผิดคนขับเรืออยู่แล้ว”

โม เผยว่า “ก็ตามเจ้าหน้าที่นั่นแหละค่ะ ไม่รู้จะบอกยังไง เมื่อกี้ก็นั่งฟังอยู่ ถามว่าเชื่อไหม ก็…(หัวเราะ) โมต้องแจ้งให้ทราบก่อนว่า เราก็มองในเรื่องพยานหลักฐานข้อเท็จจริงต่างๆ พวกหนูอาจไม่ได้อะไรกับทางกฎหมายมากมายนัก พวกหนูก็พยายามศึกษาเต็มที่แล้ว สุดท้ายเราก็หนีข้อเท็จจริงต่างๆ ไม่ได้ ต่อให้เราคิดไปเป็นอย่างอื่นหรือใดๆ ก็ตาม โมว่าเอามาเกี่ยวข้องกับคดีไม่ได้ ฉะนั้นโมอยากให้มองเรื่องพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่เป็นไปได้ และอิงกับหลักกฎหมายด้วยดีกว่า เรื่องอื่นก็เป็นวิจารณญาณส่วนตัวกันไป เราไม่ได้บอกว่าเราไม่เชื่อในเจ้าหน้าที่ อย่างที่เคยพูดไปหลายๆ ที่ โมเชื่อมั่นในกระบวนการและกฎหมาย แต่ว่ามันจะมีบางอย่างที่พวกเราสัมผัส เจอมา หรืออะไรมา หนูก็ยังบอกอยู่ว่าไม่ผิดที่พวกหนูจะสงสัย แต่ก็ไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อ ยอมรับในความเป็นจริงและสิ่งที่ออกมาได้”

“เราให้ ตร.ทำหน้าที่ของเขาให้จบดีกว่า ความจริงออกมาเป็นยังไง ทุกคนยอมรับหรือไม่ยอมรับ ฟังแล้วก็พิจารณาไปดีกว่า เขามีหน้าที่แค่สรุปสำนวน หลังจากนั้นไปลุ้นที่อัยการดีกว่า พยานหลักฐานเราส่งเพิ่มเติมได้ในชั้นอัยการ แต่ไม่ใช่ว่าพวกหนูไม่ทำอะไรกันเลย หนูแค่ไม่ได้ทำเพื่อส่ง ตร. แค่นั้นเอง แผลต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่แถลงมา หนูเห็นตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เจอพี่ที่นิติเวช เราเห็นกันแล้ว ถามว่าเราจำลองกันมั้ย เราก็จำลองกันแล้ว มีทั้งหุ่น ทั้งอะไรต่างๆ จะบอกว่าพวกโมทำเต็มที่แล้ว แต่ไม่ได้ออกมาบอกว่าทำอะไรไปบ้างแค่นั้นเองอย่างเช่นข้อมูลในโทรศัพท์ บางอย่างก็ใช่ แต่บางอย่างที่ไม่ใช่ เช่นเรื่องรอยแผล เรื่องการนัดพบเจอกัน กลุ่มหนูทุกคนก็บอกกันอยู่ หนึ่งชม.ที่บอกว่าพี่หาย เราไปอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน แต่ไม่ได้ถูกเรียกไปที่พิบูลสงคราม 1 กระติกเรียกเราไปอีกที่นึง แต่หนูไม่ได้ไป ฮิปโปเป็นคนไป พวกหนูไปกันจริงๆ เท่านั้นเอง หนูให้ตร.ทำหน้าที่เขาให้จบ ที่เหลือไปเจอกันที่ชั้นอัยการดีกว่า แล้วรอว่าผลสรุปจะออกมาเป็นยังไง แล้วหนูจะพูดเหมือนเดิมว่าหนูไม่ได้ทำอะไร พวกหนูทำเต็มที่แล้วสุดความสามารถ แต่บางอย่างอยากให้เข้าใจว่าพวกเราไม่สามารถพูดรายละเอียดได้หมด เราก็ต้องระมัดระวังความปลอดภัย สองเรารักพี่ เราทำได้เท่าที่เราทำได้ โมจะไม่มีการไปเบี่ยงเบนใคร ไปล่วงเกินหน้าที่ใคร เราทำเท่าที่ทำได้ เท่าที่แตะต้องได้ก็จะทำ”

“ถ้ากฎหมายพิจารณามาดีแล้วก็เป็นเรื่องของกฎหมายแต่โมเชื่อว่ากฎแห่งกรรมจะลงโทษพวกเขาเอง ตามวันเวลาของพวกเขาเท่านั้นเอง ส่วนอะไรต่างๆ ก็ตามที่พวกโมทำกันอยู่ สิ่งที่โมเชื่อ เราว่าเรารู้นิสัยพี่ ถ้าเขาเต็มไปใจก็คือการยินยอม ซึ่งเราห้ามเขาไม่ได้ ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นบนเรือเราไม่เห็น แต่เรารู้นิสัยพี่ของเรา เราพิจารณาได้จากทัศนคติส่วนตัว เรารู้ว่าเขาจะทำอะไรและไม่ทำอะไร และเรารู้สึกว่าคนเหล่านี้โดนลงโทษโดยกฎหมายก็โดนไป แต่การใช้ชีวิตข้างนอก โดนสังคมลงโทษ หรือกฎแห่งกรรมก็เป็นกรรมของพวกคุณ หนูเป็นน้องแท้ๆ ก็ไม่ใช่ เราทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น”