เมื่อวันที่ 26 เม.ย. ที่กระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ให้การต้อนรับ ดร.ซามีรา อาสมา ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ องค์การอนามัยโลก ประจำสำนักงานใหญ่ นครเจนีวา ดร.สเตลลา ชุงกอง ผู้อำนวยการการเตรียมความพร้อมเพื่อความมั่นคงด้านสุขภาพ และคณะผู้บริหารระดับสูงองค์การอนามัยโลก พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ในโอกาสเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเพื่อหารือโครงการนำร่องกลไกทบทวนการเตรียมความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า จากการดำเนินการดำเนินนโยบายและแนวปฏิบัติที่ดีของกระทรวงแรงงานเพื่อช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานตามนโยบายรัฐบาล จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมี นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรมว.แรงงาน พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นงส.บุปผา เรืองสุด รองปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วม

นายสุชาติ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่องค์การอนามัยโลกให้การยอมรับในการบริหารจัดการและรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยร่วมมือกับหลายหน่วยงานโดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาในหลายด้าน อาทิ การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวเพื่อนำเข้าสู่ระบบที่ถูกต้องตามกฎหมาย โครงการ Factory Sandbox การตรวจคัดกรองเชิงรุก RT-PCR 100% การจัดหาเตียง Hospitel เปิดสายด่วนช่วยประสานหาเตียง ตั้งศูนย์ฉีดวัคซีนเพื่อผู้ประกันตนมาตรา 33 เป็นต้น สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในกลุ่มแรงงาน สามารถรักษาระดับการจ้างงาน ประคับประคองให้ธุรกิจเดินหน้าต่อได้ โดยเฉพาะ อาหาร เครื่องมือแพทย์ ยานยนต์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประเทศอื่นๆ ส่งออกไม่ได้ และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ภาคการส่งออกเติบโตต่อเนื่อง
“กระทรวงแรงงาน ขอขอบคุณองค์การอนามัยโลก กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ให้การสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการดูแลพี่น้องผู้ใช้แรงงานให้ปลอดภัยจากโควิด-19 ทำให้ธุรกิจส่งออกเติบโต ในรอบ 11 ปี ช่วยเหลือสถานประกอบการให้สามารถรักษาการจ้างงาน และบางบริษัทฯ สามารถจ่ายโบนัสได้ถึง 8 เท่า สะท้อนให้เห็นว่า ธุรกิจส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์เกิดการจ้างงานต่อเนื่อง ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ลูกจ้างกลุ่มยานยนต์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ช่วยสร้างเศรษฐกิจให้ประเทศก้าวข้ามช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไปได้” นายสุชาติ กล่าว

ดร.ซามีรา อาสมา กล่าวว่า ขอบคุณกระทรวงแรงงานที่ได้ให้เข้ามาหารือเพื่อให้ประเทศไทยได้เข้าร่วมโครงการนำร่องกลไกทบทวนการเตรียมความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งขอชื่นชมรัฐบาล กระทรวงแรงงาน สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และภาคเอกชนที่ได้บูรณาการความร่วมมือระหว่างกันเพื่อหาความสมดุลในการดูแลสุขภาพของแรงงานช่วงโควิด-19 โดยไม่ให้ภาคธุรกิจต้องปิดกิจการ โดยไม่ได้สนใจแค่เศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญหลักเศรษฐศาสตร์คู่สาธารณสุข และคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนของแรงงานที่ทำงานอยู่ในประเทศไทยด้วย ซึ่งเป็นนโยบายและแนวปฏิบัติที่ดีเลิศในการให้ต่างชาติได้เรียนรู้จากประสบการณ์บริหารความเสี่ยงเพื่อนำไปปรับใช้ในช่วงวิกฤติได้ต่อไป.