การเมืองคึกคัก ทุกพรรคจัดการประชุมใหญ่ประจำปี 2565 ในเดือน เม.ย. ตามกรอบที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนด ทำให้แต่ละพรรค “ปล่อยของ” และถือโอกาส “ข่มขวัญ” คู่ต่อสู้ไปในตัว เฉพาะไฮไลต์สำคัญไล่เรียงไปจาก พรรคภูมิใจไทย เดินหน้าแคมเปญหาเสียง “พูดแล้วทำ” พร้อมชู “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว วันนี้ 60 ส.ส. ของพรรค ไม่มีไหลออก มีแต่ไหลเข้า ตั้งเป้าไม่ต่ำกว่า 100 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ ถึงแม้จะเจอมรสุม “ข่าวฉาว” ก็ยังยืนหยัดและหวังว่าพรรคจะยังได้รับศรัทธาเช่นเดิม

ส่วน พรรคเพื่อไทย ยังชูดีเอ็นเอยี่ห้อ “นายกดูไบ” เป็นแม่เหล็ก “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ประกาศยืนหยัดเพื่อคนรากหญ้า สร้างความมั่งคั่งให้กลับมามีศักดิ์ศรี ต้องแลนด์สไลด์ได้ ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 250 ที่นั่ง เพื่อได้เป็นรัฐบาลบริหารประเทศ

สำหรับ “เหล้าเก่าในขวดใหม่” อย่าง พรรคสร้างอนาคตไทย ที่มี “2 กุมาร” นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์  สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค ประกาศชู “ขุนพลเศรษฐกิจ” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นั่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรค หวังเป็นทางเลือกที่ 3 และในวันที่ 30 เม.ย.นี้ พรรคก้าวไกล จะจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 65 พร้อมกับปรับทัพรับศึกเลือกตั้งใหญ่ และชู “ทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเช่นกัน

ขณะที่ พรรคพลังประชารัฐ แม่บ้านป้ายแดง อย่าง สันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค ประกาศตั้งเป้า ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 150 ที่นั่ง พร้อมกับทยอยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. สกัดข่าวลือ “เลือดไหลออก”

ซึ่ง ณ เวลานี้ทุกพรรคการเมืองประกาศความพร้อมเป็น แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี กันทุกพรรค  แต่จะมีกี่พรรคที่สมหวัง?? เพราะตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 272 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า “ในระหว่าง 5 ปีแรก นับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ การให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ให้ดำเนินการตามมาตรา 159 ซึ่งจะทำการเลือกนายกรัฐมนตรี ในบัญชีชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ ตามมาตรา 88 และต้องเป็นบัญชีชื่อของพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกเป็น ส.ส. ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 หรือไม่น้อยกว่า 25 คน และผู้ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสองสภา” นั่นหมายความว่า พรรคการเมืองที่มี ส.ส. 25 คนขึ้นไปเท่านั้น ที่จะมีสิทธิในการเสนอชื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ซึ่งพรรคการเมืองที่จะมี ส.ส.มากกว่า 25 เสียง คงมีแค่ไม่กี่พรรค ดังนั้นคู่ชิงนายกรัฐมนตรีในศึกเลือกตั้งครั้งหน้าน่าจะวัดกันที่ 2 พรรคใหญ่ คือพรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐ ตรงนี้คือความจริง ไม่ใช่ความฝันแบบลมๆ แล้งๆ

แต่ที่น่าจับตามากกว่า คงหนีไม่พ้นความหวาดระแวงของ  “2 ป.” ระหว่าง “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค และ “น้องเล็ก” ที่ยังคงคาใจกันจากปมข่าวลือ “ดีลลอนดอน” ที่ยังไม่ชัดระหว่าง “พี่ใหญ่” กับ “คนแดนไกล” ที่ลับ ลวง พราง กันเอง ไม่รู้อันไหนจริง อันไหนเท็จ จนต้องมาแก้ข่าวกันพัลวัน ยิ่งกว่าลิงแก้แห ซึ่งกว่าจะลงตัว พรรคพลังประชารัฐคงต้องเจอมรสุมอีกหลายลูก โดยเฉพาะ “2 ป.” คงต้องเปิดมูลนิธิป่ารอยต่อฯ ทานข้าวสยบข่าวลือกันอีกหลายรอบ

แต่ที่ไม่ ลับ ลวง พราง ของจริง คือ งานนี้ มี “บิ๊ก ป.” เช่าเครื่องบินส่วนตัวไปลงที่ “ดูไบ” ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ดีลลับการเมือง ซึ่งไม่ใช่ที่อังกฤษ หรือที่สวิตเซอร์แลนด์ แต่อย่างใด!!