ศึก “คอมมิวนิตี ชิลด์” ฤดูกาลนี้ อันเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าซีซั่นใหม่กำลังจะมาถึงนั้น จบลงไปพร้อมชัยชนะของ ลิเวอร์พูล ที่มีเหนือ แมนเชสเตอร์ ซิตี 3-1…

แน่นอนว่านี่คือเกมที่แฟนบอลทั้ง 2 ฝ่ายรอคอย เพราะนี่คือเกมอย่างเป็นทางการนัดแรกของซีซั่น รูปร่างหน้าตาของทีมที่จะสู้ศึกในซีซั่นนี้เป็นอย่างไร ก็จะได้เห็นหน้าค่าตาคร่าว ๆ กันเกมนี้แหละ

ซึ่งทั้ง 2 ทีมก็จัดทัพแบบเต็มสูบ ฝั่ง คลอปป์ นั้นยึด0แกนจากซีซั่นก่อนแทบทุกตำแหน่ง ยกเว้น ซาดิโอ มาเน ที่อำลาทีมไป ซึ่งกุนซือชาวเยอรมันเลือกใช้ โรแบร์โต ฟีร์มิโน ก่อน ดาร์วิน นูนเญซ หัวหอกตัวใหม่ โดยให้เหตุผลเรื่องความเก๋าเกมของดาวเตะบราซิเลียน

ส่วน “เรือใบสีฟ้า” นั้น เปป กวาร์ดิโอลา ก็จัดเต็มไม่แพ้กัน ขาดแค่ อายเมอริก ลาปอร์กต์ ที่ยังเจ็บ ส่วนแนวรุกก็จัดขีปนาวุธลูกใหม่อย่าง เออร์ลิง เบราต์ ฮาแลนด์ ประสานงานกับ เควิน เดอ บรอยน์, ริยาด มาห์เรซ และ แจ๊ค กรีลิช

เกมช่วงต้นครึ่งแรก “หงส์แดง” ฟิตกว่าชัดเจน หลังเล่นเกมอุ่นเครื่องมา 4 เกม สภาพร่างกายเข้าที่กว่านักเตะ แมนฯ ซิตี ที่แมตช์ฟิตเนสเป็นรอง เพราะเพิ่งอุ่นมาแค่ 2 นัด ประตูแรกของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เกิดขึ้นในนาทีที่ 21 หลังลูกทีมของ เจอร์เกน คลอปป์ บดอยู่พักใหญ่และมีโอกาสยิงไปแล้วหลายครั้ง

ขณะที่กว่า เออร์ลิง เบราต์ ฮาแลนด์ จะมีโอกาสแรก ตัวเลขนาฬิกาก็เลยครึ่งขั่วโมงแรกไปแล้ว กระนั้น จังหวะที่เขาเบียด แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน จนกระดอนแล้วยิงติดเซฟ อาเดรียน ก็แสดงให้เห็นว่าดาวยิงทีมชาตินอร์เวย์รายนี้อันตรายทุกฝีด้าว

เกมในครึ่งหลัง “เรือใบสีฟ้า” เริ่มครองบอลบุกใส่ได้มากขึ้น บอลเท้าสู่เท้า ระบบการขึ้นเกมรุกของ เปป ยังคงเนียนตา และที่สำคัญคือ แมนฯ ซิตี ยังคงเป็นทีมที่ขุมกำลังแน่นปึ้ก ตัวสำรองที่ถูกส่งลงมาไม่แตกต่างจากตัวจริงมาก การมีส่วนร่วมกับประตูตีเสมอของ ฟิล โฟเดน และการจิ้มจ่อ ๆ เข้าไปของ ฮูเลียน อัลวาเรซ ดาวยิงตัวใหม่คือหลักฐาน

อย่างไรก็ตาม การลงมาของ ดาร์วิน นูนเญซ หัวหอกทีมชาติอุรุกวัย คือจุดเปลี่ยนสู่ชัยชนะของ “หงส์แดง” การอดส่ายหาพื้นที่ และการไปอยู่ถูกที่ถูกเวลาเสมอของเขา นำมาสู่จุดโทษที่เจ้าตัวโหม่งไปโดนมือ รูเบน ดิอาส ก่อนที่ โม ซาลาห์ จะซัดไม่เหลือซาก รวมถึงการสอดเข้าไปปิดจ๊อบในประตูย้ำชัย

นี่คือแชมป์ศึกชิงโล่การกุศล สมัยที่ 16 ของ ลิเวอร์พูล สูงสุดเป็นอันดับ 2 รองจาก “ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ได้ไป 21 สมัย และเป็นการได้แชมป์ครั้งแรกของ “หงส์แดง” นับตั้งแต่ปี 2006 อีกทั้งยังเป็นแชมป์ที่ทำให้ เจอร์เกน คลอปป์ คว้าแชมป์ในทุกถ้วยที่พาทีมลงเตะเรียบร้อยแล้ว…

นอกจากนี้ นี่คือครั้งที่ 8 จาก 9 ครั้งหลังสุดที่ทีมแชมป์ เอฟเอ คัพ คว้าโล่การกุศลไปครอง และที่สำคัญ นี่คือครั้งที่ 10 แล้วที่ เปป แพ้ให้กับทีมของ คลอปป์ เรียกว่าในชีวิตการเป็นกุนซือ นี่คือคู่แข่งที่นายใหญ่ “เรือใบสีฟ้า” แพ้เยอะที่สุดแล้ว

กระนั้น อย่างที่รู้กันว่านี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นของฤดูกาลที่ยังต้องสู้กันอีกยาวนานร่วม 9 เดือน แถมยังเป็นฤดูกาลที่ยากกว่าปกติ จากการมีฟุตบอลโลกมาคั่นกลางอีกต่างหาก ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น และเราได้เห็นจากเกมนี้ เป็นแค่แนวทางส่วนหนึ่งที่อาจเกิดขึ้น แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เกมนัดเดียวไม่อาจตัดสินสิ่งที่จะเกิดขึ้นตลอดทั้งซีซั่นได้

รวมถึงการที่เราได้เห็นลูกซ้ำจ่อ ๆ ของ ฮาแลนด์ พุ่งกระแทกคานอย่างจังในช่วงทดเจ็บ ทั้งที่ประตูใหญ่เท่าบ้าน แถม อาเดรียน ก็นอนแอ้งแม้งไปแล้วนั้น มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะตัดสินว่าเจ้าตัวจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวในซีซั่นนี้ เพียงแต่อาจโดนล้อบ้างนิดหน่อย

ซึ่งถ้าไม่รู้จะรับมือยังไง ลองทกไปถามผู้มีประสบการณ์มาหมาด ๆ อย่าง นูนเญซ ดูก็ได้…