ทุกวันเสาร์สัปดาห์ที่สองเดือนมกราคมของทุกปีเป็นวันเด็กแห่งชาติ สำหรับวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2566 นี้ ตรงกับวันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2566 ส่วนวันครูแห่งชาติของทุกปี ตรงกับวันที่ 16 เดือนแรกของปี วันครูแห่งชาติประจำปี 2566 นี้ ตรงกับวันที่ 16 มกราคม 2566 นับเป็นนิมิตหมายอันดีที่วันเด็กแห่งชาติประจำปี 2566 และวันครูแห่งชาติประจำปี 2566 อยู่ห่างกันแค่สองวัน วันทั้งสองที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้จะมีได้ยาก นานทีปีหนซึ่งจะเป็นผลดีต่อการรับรู้ของสังคมถึงคุณค่าและความสำคัญของวันทั้งสองนี้ เด็กและครูมีความเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกันอย่างใกล้ชิด เพราะเด็กไม่มีความรู้อะไรจึงต้องมาศึกษาหาความรู้จากครูที่โรงเรียน
การจัดงานวันเด็กแห่งชาติในแต่ละปี ไม่ใช่เพียงแค่จัดกิจกรรมส่งเสริมความรู้ กิจกรรมบันเทิงสนุกสนานเท่านั้น แต่แก่นแท้ของการจัดงานวันเด็กนั้น อยู่ที่การเหลียวแลเอาใจใส่กับเด็กในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านพลานามัย การเติบโตของร่างกายตามวัย การพัฒนาความรู้และความคิดให้เป็นผู้มีหลักคิดที่ถูกต้องและไม่บกพร่องในจิตสำนึกโดยมีความรู้คู่คุณธรรม มีทักษะในการดำเนินชีวิต รู้ เท่าทันกับเภทภัยต่างๆ ที่มีอยู่มากมายรอบตัวในชีวิตประจำวัน
วันครูแห่งชาติในแต่ละปี ไม่ใช่เพียงแค่จัดกิจกรรมเชิดชูครูดีเด่นและมีการพบปะสังสรรค์กันเท่านั้น แต่แก่นแท้ของการจัดงานวันครูนั้นอยู่ที่การเหลียวแลเอาใจใส่กับครูในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถหน่วยงานภาครัฐได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จะต้องบริหารงานบุคคลภายใต้ระบบคุณธรรมไม่ใช่ระบบอุปถัมภ์ ครูที่ดีจะได้มีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ ตลอดจนการดูแลและแก้ปัญหาที่มีผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของครู
เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการกระตุ้นความคิดและแนวทางในการดำเนินชีวิตของเด็ก จะขอนำบทกลอน “กาลเวลากับชีวิต” ในสาระการเรียนรู้ภาษาไทยจากหนังสือ “กาลเวลา” ซึ่งเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาเล่มแรกของไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 ซึ่งเป็นการเรียนรู้แบบสหวิชา (inter-discipinary) ภายใต้บริบทมิติกาลเวลา (time dimension) เพื่อพัฒนาทักษะในการคิดให้รู้จักคิดเป็นระบบ (systematic thinking) คิดแบบบูรผณาการ (integrated thinking) และคิดอย่างสร้างสรรค์ (creative thinking) ประกอบด้วยสาระการเรียนรู้ 8 วิชา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สุขศึกษาและพลศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา การงานอาชีพและเทคโนโลยี ศิลปะ ดนตรี นาฏศิลป์ หนังสือเล่มนี้ได้รับการจัดพิมพ์ขึ้นตั้งแต่ปี 2548 ใจความในบทกลอน “กาลเวลากับชีวิต” มีดังนี้
กาลเวลากับชีวิต
กาลเวลาพาคนพ้นผ่านวัย จงอย่าได้ใช้ชีวิตผิดวิถี
มุ่งหมั่นเพียรเรียนร่ำตำราดี ทุกนาทีมีค่ารักษาไว้
เมื่อยังเล็กเด็กอยู่รู้ขวนขวาย สู่จุดหมายปลายทางอันยิ่งใหญ่
วิชาการสารพันนั้นมากมาย อย่าดูดายใฝ่อนาคตที่งดงาม
ในยามเรียนต้องเพียรเขียนอ่านคิด เพ่งพินิจพิจารณาหาคำถาม
ตั้งกายใจไม่ละพยายาม ใฝ่คุณธรรมความดีเป็นศรีตน
ให้เชื่อฟังคำครูผู้สอนสั่ง บนเส้นทางบัณฑิตสัมฤทธิ์ผล
อย่าประมาทพลาดพลั้งทุรชน ขอพุทธองค์จงดลบันดาลชัย
เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อครูซึ่งเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้แก่เด็กจะขอนำสาระสำคัญในบทความเรื่อง “ครูดีย่อมเป็นศรีแก่แผ่นดิน” จากหนังสือครู ซึ่งเขียนโดย ศาสตราจารย์ ระพี สาคริก หนังสือเล่มนี้ได้รับการจัดพิมพ์ขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม2565 เนื่องในวาระ 100 ปีชาตกาล ศาสตราจารย์ ระพี สาคริก มีสาระสำคัญบางตอนดังนี้
“…วิชาครูนั้นมันไม่มีในโลก คงมีแต่จิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ซึ่งถือคุณธรรมเป็นพื้นฐานการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมชาติ…
การนำปฏิบัติในสิ่งที่ดีงามนั้นคือ คำสอนอันยิ่งใหญ่และคู่ควรแก่การเคารพนับถือ ส่วนการสอนด้วยปากแม้แต่กระดาษกับตัวหนังสือหรือเทคโนโลยีนั้น มันเป็นเพียงสิ่งปรุงแต่งมากกว่า ถ้าใครไปหลงยึดติดอยู่กับมัน ย่อมสร้างผลเสียหายให้กับตนเองหนักมากยิ่งขึ้นจนเป็นที่น่าสงสารอย่างยิ่ง…..
ครูควรรักศิษย์ยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง… ชีวิตคนเรานั้น หลังจากเกิดปัญหาเราควรเอาชนะคนด้วยความดี… ถ้าเรายังเห็นว่าเขาร้าย แสดงว่าตัวเราเองยังไม่ดีพอ..
สถานภาพในการเรียนรู้ของมนุษย์นั้นย่อมมีจุดที่เข้าถึงความพอเพียง บนพื้นฐานความอิ่มเอิบบนจิตใจตนเอง และอีกทั้งมีจิตใต้สำนึกที่รำลึกได้ว่า หน้าที่ของความเป็นครูนั้นอยู่ที่ไหนและทำอะไรก็ต้องเป็นอยู่แล้ว
บทบาทของความเป็นครู อย่าว่าแต่คนที่ยืนสอนหนังสืออยู่หน้าชั้นเรียน แม้แต่คนซึ่งทำหน้าที่กวาดถนนก็มีวิญญาณความเป็นครูอยู่ในหัวใจ ถ้าบุคคลผู้นั้นรู้จักปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ให้ทุกคนที่เดินผ่านไปมารู้สึกศรัทธา …….
วิญญาณความเป็นครูนั้นทุกคนมีมาแล้วโดยกำเนิด ถ้าผู้มีอำนาจไม่คิดทำลายวิญญาณดังกล่าว สังคมนี้ย่อมดีกว่านี้มาก
ศาสตร์ทุกสาขานั้น เราอาจนำมาแยกแยะเป็นหอคอยได้เอง แต่ศิลป์นั้นมันไม่ใช่แค่ศาสตร์ หากเป็นวิญญาณของศาสตร์ทุกสาขาที่ประดิษฐ์ขึ้นมาจากหลักธรรมเป็นพื้นฐาน……
จงเป็นคนอ่อนนอกแต่แข็งใน……
อย่าอยู่อย่างประมาท เพื่อจะได้หยั่งรู้คุณค่าของสิ่งที่อยู่ในรากฐานจิตใจตนเองอันช่วยให้เกิดปัญญาที่แจ่มใสช่วยให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้ได้อย่างสวยสดงดงาม ……
ครูดีย่อมเป็นศรีแก่แผ่นดิน วิญญาณครูสิ้นแผ่นดินก็ย่อมฉิบหาย”
…………………………
คอลัมน์ : ว่ายทวนน้ำ
โดย “ทวีศักดิ์ อุ่นจิตติกุล”
แฟนเพจ : สาระจากพระธรรม